นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ : อิทธิพลและผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก
อัพเดทล่าสุด: 7 เม.ย. 2025
447 ผู้เข้าชม

1. นโยบายเศรษฐกิจ: ลดภาษี-กีดกันการค้า
ทรัมป์เริ่มต้นวาระด้วยการผลักดัน การลดภาษีครั้งใหญ่ ผ่านกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act ในปี 2017 โดยลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 35% เหลือ 21% และลดภาษีให้กับบุคคลธรรมดาในหลายระดับ เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ ทรัมป์ใช้นโยบาย การกีดกันทางการค้า (Protectionism) โดยกำหนด ภาษีนำเข้าสูง กับสินค้าจากจีน เม็กซิโก สหภาพยุโรป และประเทศอื่น ๆ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะเหล็ก อะลูมิเนียม และยานยนต์ ส่งผลให้เกิด สงครามการค้า โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงินและโลจิสติกส์โลก
2. นโยบายการย้ายถิ่นฐาน: เข้มงวดและปิดกั้น
ทรัมป์ใช้แนวทาง ต่อต้านการเข้าเมืองอย่างเข้มงวด ผ่านการสร้างกำแพงชายแดนกับเม็กซิโก และออกคำสั่งห้ามพลเมืองจากบางประเทศมุสลิมเข้าสหรัฐฯ (Muslim Ban) ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่สิทธิมนุษยชนและผลกระทบต่อแรงงานต่างชาติในสหรัฐฯ โดยเฉพาะแรงงานไร้ทักษะ
3. นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม: ถอยห่างจากข้อตกลงระหว่างประเทศ
ทรัมป์ประกาศ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) โดยให้เหตุผลว่าเป็นภาระต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมในประเทศ เช่น ถ่านหินและพลังงานฟอสซิล ซึ่งขัดแย้งกับทิศทางของประชาคมโลกที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดและการลดคาร์บอน
4. นโยบายต่างประเทศ: สหรัฐฯ ก่อนพันธมิตร
ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์องค์การระหว่างประเทศอย่าง นาโต (NATO) และ องค์การการค้าโลก (WTO) ว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ และผลักดันให้นานาชาติ จ่ายส่วนแบ่ง ที่เป็นธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเน้นการเจรจาทวิภาคี (bilateral) แทนการเข้าร่วมในความตกลงพหุภาคี เช่น การถอนตัวจากความตกลง TPP (Trans-Pacific Partnership)
ในทางหนึ่ง นโยบายของเขาทำให้พันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐฯ รู้สึกไม่มั่นคงและเริ่มพึ่งพาตนเองมากขึ้น อีกด้านหนึ่ง ทรัมป์พยายามเปิดการเจรจากับคู่แข่งเช่น เกาหลีเหนือ แม้จะไม่บรรลุผลถาวร แต่ก็เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
5. ผลกระทบโดยรวม
นโยบายของทรัมป์ก่อให้เกิดผลกระทบหลายประการ:
สรุป
นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ถือเป็นจุดเปลี่ยนของทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะในแง่ผลกระทบที่เป็นรูปธรรม หรือลักษณะวิธีการที่ "สวนทางกับระบบเดิม" ทรัมป์ได้แสดงให้เห็นว่า การเมืองสามารถใช้แนวคิดชาตินิยมและธุรกิจมาเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศได้ ทว่าคำถามที่ยังคงค้างอยู่คือ สหรัฐฯ และโลกพร้อมสำหรับ "แนวทางทรัมป์" หรือไม่ในระยะยาว
ทรัมป์เริ่มต้นวาระด้วยการผลักดัน การลดภาษีครั้งใหญ่ ผ่านกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act ในปี 2017 โดยลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 35% เหลือ 21% และลดภาษีให้กับบุคคลธรรมดาในหลายระดับ เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ ทรัมป์ใช้นโยบาย การกีดกันทางการค้า (Protectionism) โดยกำหนด ภาษีนำเข้าสูง กับสินค้าจากจีน เม็กซิโก สหภาพยุโรป และประเทศอื่น ๆ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะเหล็ก อะลูมิเนียม และยานยนต์ ส่งผลให้เกิด สงครามการค้า โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงินและโลจิสติกส์โลก
2. นโยบายการย้ายถิ่นฐาน: เข้มงวดและปิดกั้น
ทรัมป์ใช้แนวทาง ต่อต้านการเข้าเมืองอย่างเข้มงวด ผ่านการสร้างกำแพงชายแดนกับเม็กซิโก และออกคำสั่งห้ามพลเมืองจากบางประเทศมุสลิมเข้าสหรัฐฯ (Muslim Ban) ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่สิทธิมนุษยชนและผลกระทบต่อแรงงานต่างชาติในสหรัฐฯ โดยเฉพาะแรงงานไร้ทักษะ
3. นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม: ถอยห่างจากข้อตกลงระหว่างประเทศ
ทรัมป์ประกาศ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) โดยให้เหตุผลว่าเป็นภาระต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมในประเทศ เช่น ถ่านหินและพลังงานฟอสซิล ซึ่งขัดแย้งกับทิศทางของประชาคมโลกที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดและการลดคาร์บอน
4. นโยบายต่างประเทศ: สหรัฐฯ ก่อนพันธมิตร
ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์องค์การระหว่างประเทศอย่าง นาโต (NATO) และ องค์การการค้าโลก (WTO) ว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ และผลักดันให้นานาชาติ จ่ายส่วนแบ่ง ที่เป็นธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเน้นการเจรจาทวิภาคี (bilateral) แทนการเข้าร่วมในความตกลงพหุภาคี เช่น การถอนตัวจากความตกลง TPP (Trans-Pacific Partnership)
ในทางหนึ่ง นโยบายของเขาทำให้พันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐฯ รู้สึกไม่มั่นคงและเริ่มพึ่งพาตนเองมากขึ้น อีกด้านหนึ่ง ทรัมป์พยายามเปิดการเจรจากับคู่แข่งเช่น เกาหลีเหนือ แม้จะไม่บรรลุผลถาวร แต่ก็เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
5. ผลกระทบโดยรวม
นโยบายของทรัมป์ก่อให้เกิดผลกระทบหลายประการ:
- เศรษฐกิจในประเทศเติบโตในระยะสั้น จากการลดภาษี แต่ หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น
- ความตึงเครียดทางการค้ากับหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
- ความแตกแยกในสังคมอเมริกันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นเชื้อชาติและการเมือง
- ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอ่อนแอลง โดยพันธมิตรดั้งเดิมเริ่มพึ่งพาตนเองและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
สรุป
นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ถือเป็นจุดเปลี่ยนของทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะในแง่ผลกระทบที่เป็นรูปธรรม หรือลักษณะวิธีการที่ "สวนทางกับระบบเดิม" ทรัมป์ได้แสดงให้เห็นว่า การเมืองสามารถใช้แนวคิดชาตินิยมและธุรกิจมาเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศได้ ทว่าคำถามที่ยังคงค้างอยู่คือ สหรัฐฯ และโลกพร้อมสำหรับ "แนวทางทรัมป์" หรือไม่ในระยะยาว
บทความที่เกี่ยวข้อง
การนับสต๊อกถือเป็นงานสำคัญของคลังสินค้า เพราะข้อมูลที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจกระทบต่อการขาย การสั่งซื้อ และภาพรวมของธุรกิจได้
28 พ.ย. 2025
เมื่อพูดถึงการทำงานคลังสินค้าหรือการบัญชีสต็อก เรามักจะได้ยินคำว่า FIFO และ LIFO อยู่เสมอ ทั้งสองคำนี้คือ “วิธีการจัดการสต็อก” ที่มีผลต่อ การจัดเก็บสินค้า, การหมุนเวียนสินค้า, การคิดต้นทุน, และ งบการเงินของธุรกิจ
28 พ.ย. 2025
ในโลกของโลจิสติกส์ หลายคนอาจเคยสับสนระหว่าง คลังสินค้า (Warehouse) กับ ศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center – DC) ว่าต่างกันอย่างไร ทำงานอะไรบ้าง และควรใช้แบบไหนให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ
27 พ.ย. 2025
BS Rut กองรถ

BS&DC SAI5

