แชร์

ESG คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ

อัพเดทล่าสุด: 15 ต.ค. 2024
490 ผู้เข้าชม

ESG คืออะไร?

ESG เป็นคำย่อมาจาก Environmental, Social, Governance หรือในภาษาไทยคือ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน โดยไม่ได้มองเพียงแค่ผลกำไรทางธุรกิจ แต่ให้ความสำคัญกับผลกระทบที่ธุรกิจนั้น ๆ มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย

ทำไม ESG ถึงสำคัญ?

  • ความรับผิดชอบต่อสังคม: แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจขององค์กรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคและนักลงทุนให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • ความยั่งยืน: การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึง ESG ช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว ลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะโลกร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบ
  • ภาพลักษณ์ที่ดี: องค์กรที่ให้ความสำคัญกับ ESG มักจะมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของสาธารณชน ทำให้ดึงดูดลูกค้า พนักงาน และนักลงทุนได้มากขึ้น
  • การลดความเสี่ยง: การบริหารจัดการความเสี่ยงด้าน ESG ช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจ เช่น ความเสี่ยงด้านกฎหมาย ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง และความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

ESG ประกอบด้วย 3 ด้านหลัก

  • สิ่งแวดล้อม (Environmental): เกี่ยวข้องกับผลกระทบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะ การใช้พลังงานทดแทน
  • สังคม (Social): เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของธุรกิจกับสังคม เช่น การดูแลพนักงาน ความหลากหลายทางวัฒนธรรม การสนับสนุนชุมชน
  • ธรรมาภิบาล (Governance): เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการองค์กรที่ดี เช่น ความโปร่งใส การป้องกันการคอร์รัปชัน การกำกับดูแลกิจการที่ดี

ตัวอย่างการนำ ESG ไปใช้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์

อุตสาหกรรมโลจิสติกส์มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก แต่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดมลพิษและปัญหาสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการนำแนวคิด ESG มาประยุกต์ใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมนี้

ตัวอย่างที่น่าสนใจของการนำ ESG ไปใช้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ มีดังนี้

ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental)

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก:

  • เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด: เช่น รถบรรทุกไฟฟ้า, รถบรรทุกใช้ก๊าซธรรมชาติ หรือรถบรรทุกไฮโดรเจน
  • เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง: วางแผนเส้นทางขนส่งให้มีประสิทธิภาพ ลดระยะทางที่รถวิ่งเปล่า
  • ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: เช่น บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ, บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้

การจัดการขยะ:

  • คัดแยกขยะ: แยกขยะที่เกิดจากกระบวนการขนส่งเพื่อนำไปรีไซเคิล
  • ลดการใช้พลาสติก: หันมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ

การอนุรักษ์พลังงาน:

  • ติดตั้งหลอด LED: ในคลังสินค้าและสำนักงาน
  • ใช้ระบบจัดการพลังงาน: เพื่อควบคุมการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ

ด้านสังคม (Social)

ความปลอดภัยของพนักงาน:

  • จัดฝึกอบรม: เพื่อให้พนักงานมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน
  • จัดหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล: เพื่อป้องกันอันตรายจากการทำงาน

ความหลากหลายและการรวมกลุ่ม:

  • สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นธรรม: ปฏิบัติต่อพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียม
  • ส่งเสริมความหลากหลาย: ทั้งในแง่ของเพศ เชื้อชาติ และวัฒนธรรม

การมีส่วนร่วมกับชุมชน:

  • สนับสนุนกิจกรรมของชุมชน: เช่น การจัดกิจกรรมเพื่อสังคม การบริจาค
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน: เพื่อลดผลกระทบจากการดำเนินงาน

ตัวอย่างบริษัทโลจิสติกส์ที่ให้ความสำคัญกับ ESG:

DHL: มีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30% ภายในปี 2030

UPS: มีโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดการใช้พลาสติก

FedEx: มีโครงการสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาชุมชน

การนำ ESG ไปใช้ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของสังคม แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจอีกด้วย เพราะผู้บริโภคและลูกค้าให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น





BY: MANthi
ที่มา: Gemini


บทความที่เกี่ยวข้อง
การบริหารจัดการพื้นที่ว่างบนรถให้ได้ประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าที่สุด สำหรับธุรกิจรับส่งพัสดุ
การบริหารจัดการพื้นที่ว่างบนรถให้ได้ประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าที่สุด สำหรับธุรกิจรับส่งพัสดุ
Notify.png พี่ปี
26 ส.ค. 2025
Crowd-shipping: ส่งอะไรด้วย ‘คนส่งร่วม’ ตอบโจทย์ Last-Mile Delivery ได้จริงหรือ?
ในยุคที่ E-Commerce เติบโตอย่างก้าวกระโดด ปัญหาสำคัญของธุรกิจโลจิสติกส์คือ Last-Mile Delivery ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนสินค้าถึงมือลูกค้า มีทั้งความท้าทายด้านเวลา ต้นทุน และความยืดหยุ่น ทำให้เกิดโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “Crowd-shipping” หรือการใช้ “คนส่งร่วม” มาช่วยจัดส่ง
สีเขียว_สีเหลือง_น่ารัก_ภาพประกอบ_ปิดร้านค้า_Sorry_We_Are_Closed_Instagram_Post_.png BS Rut กองรถ
25 ส.ค. 2025
"ส่งของเอง VS เรียกมารับที่บ้าน แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน? คำนวณให้ดูชัดๆ"
สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือใครก็ตามที่ต้องส่งพัสดุเป็นประจำ คำถามที่มักจะวนเวียนอยู่ในหัวก็คือ “จะยอมเสียเวลาเดินทางไปส่งของเองที่สาขา หรือจะยอมจ่ายเพิ่มอีกนิดเพื่อเรียกให้รถเข้ามารับถึงหน้าบ้านดี?” บางคนอาจคิดว่าไปส่งเองประหยัดกว่าเห็นๆ แต่เมื่อลองคำนวณดูค่าใช้จ่ายแฝงทั้งหมดแล้ว ผลลัพธ์อาจทำให้คุณประหลาดใจ! ในบทความนี้ เราจะมาแจกแจงต้นทุนของทั้งสองวิธีให้เห็นภาพชัดๆ พร้อมสูตรคำนวณง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าแบบไหน "คุ้มค่า" ที่สุดสำหรับคุณ
ร่วมมือ.jpg Contact Center
25 ส.ค. 2025
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ