Digital Product Passport หนังสือเดินทางดิจิทัลของสินค้าในซัพพลายเชนโลก
ในโลกของโลจิสติกส์ยุคดิจิทัล Digital Product Passport (DPP) หรือ หนังสือเดินทางดิจิทัลของสินค้า กลายเป็นเทรนด์สำคัญที่หลายบริษัททั่วโลกเริ่มนำมาใช้ หนังสือเดินทางนี้คือข้อมูลดิจิทัลที่เก็บรายละเอียดของสินค้า ตั้งแต่ต้นทางการผลิต วัสดุที่ใช้ การขนส่ง ไปจนถึงการจัดจำหน่าย ซึ่งช่วยให้ทั้งผู้ผลิต ผู้จัดส่ง และผู้บริโภคสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของสินค้าได้อย่างโปร่งใส
ทำไมต้องมี Digital Product Passport
ความโปร่งใส (Transparency)
ผู้บริโภคยุคใหม่สนใจว่าผลิตภัณฑ์มาจากไหน ทำไมถึงราคาแพง หรือมีการผลิตอย่างยั่งยืนหรือไม่ DPP จะบอกทั้งหมด เช่น วัสดุจากฟาร์มออร์แกนิก หรือสินค้าแฟชั่นที่ผลิตในโรงงานที่ปลอดภัย
ลดการปลอมแปลงสินค้า (Anti-Counterfeit)
สินค้าหรูหราหรือยาอาจถูกปลอม DPP ทำให้สามารถตรวจสอบรหัสสินค้าและประวัติการขนส่งได้ทันที
ซัพพลายเชนที่ติดตามง่าย (Supply Chain Traceability)
ผู้ผลิตและโลจิสติกส์สามารถติดตามตำแหน่งสินค้าแบบเรียลไทม์ ลดปัญหาของสูญหายหรือส่งผิดที่
การทำงานของ Digital Product Passport
ใช้ QR Code / NFC / Blockchain
ข้อมูลสินค้า เช่น วัสดุที่ใช้, วันที่ผลิต, ตำแหน่งจัดส่ง จะถูกเก็บในระบบที่ปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
เชื่อมโยงกับซัพพลายเชน
ทุกขั้นตอนการผลิตและจัดส่งจะบันทึกไว้บน DPP ทำให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันที
เข้าถึงโดยผู้บริโภค
ลูกค้าสามารถสแกน QR Code บนสินค้าเพื่อดูประวัติครบถ้วน เช่น แหล่งผลิต, วันที่ผลิต, วิธีจัดส่ง, การรับรองความยั่งยืน
ประโยชน์หลัก
สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค
ผู้ซื้อรู้ว่าสินค้ามีคุณภาพและถูกต้องตามมาตรฐาน
ลดปัญหาการปลอมแปลงและการฉ้อโกง
ข้อมูลทุกขั้นตอนตรวจสอบได้และไม่สามารถแก้ไขง่าย ๆ
สนับสนุนความยั่งยืน (Sustainability)
บริษัทสามารถยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ใช้วัสดุรีไซเคิลหรือผลิตอย่างรับผิดชอบ
เพิ่มประสิทธิภาพในซัพพลายเชน
ข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้การจัดส่งและสต็อกแม่นยำมากขึ้น
ตัวอย่างการใช้
แฟชั่นและเครื่องประดับหรู: ลูกค้าสามารถตรวจสอบว่าเพชรหรือทองที่ซื้อมาถูกต้องตามแหล่งที่มาจริง
อาหารและเครื่องดื่ม: สแกน QR Code ดูได้เลยว่าอาหารมาจากฟาร์มไหน ผ่านการขนส่งและเก็บรักษาอย่างไร
ยาและเวชภัณฑ์: ตรวจสอบวันผลิต วันหมดอายุ และเส้นทางการขนส่ง