จัดการสต็อกอย่างมือโปร: เคล็ดลับที่คลังสินค้าไม่เคยบอกคุณ
อัพเดทล่าสุด: 8 พ.ค. 2025
317 ผู้เข้าชม

1. ใช้ระบบ ABC เพื่อแยกประเภทสินค้า
สินค้าไม่ใช่ทั้งหมดจะมีความสำคัญเท่ากัน การใช้หลัก ABC Analysis ช่วยให้คุณแยกสินค้าได้ว่า:
2. FIFO ไม่ใช่แค่ทฤษฎี
First In, First Out (FIFO) คือหลักการที่สินค้าเข้าก่อน ต้องออกก่อน โดยเฉพาะสินค้าที่มีวันหมดอายุ เช่น อาหารหรือเครื่องสำอาง การไม่ใช้ FIFO อย่างเคร่งครัดคือกับดักที่ทำให้ของเสียหายและเกิดต้นทุนแฝงมหาศาล
3. ตั้งค่าจุดสั่งซื้ออัตโนมัติ (Reorder Point)
อย่ารอให้สินค้าหมดก่อนแล้วค่อยสั่ง ระบบจัดการสต็อกที่ดีควรมี Reorder Point หรือจุดสั่งซื้อขั้นต่ำที่ระบบแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเติมสินค้า เพื่อป้องกันการขาดสต็อกที่อาจทำให้เสียลูกค้า
4. ตรวจสต็อกเป็นประจำแบบ Cycle Count
แทนที่จะรอตรวจสต็อกทั้งคลังปีละครั้ง ลองเปลี่ยนมาใช้วิธี Cycle Count หรือการตรวจสต็อกแบบหมุนเวียนทุกสัปดาห์/เดือน ช่วยลดโอกาสผิดพลาด และไม่ต้องหยุดการดำเนินงานทั้งหมด
5. การจัดเรียงมีผลมากกว่าที่คิด
การจัดเรียงสินค้าตามความถี่ในการหยิบใช้งาน (Fast-moving products ให้อยู่ใกล้ทางเข้า/ออก) สามารถลดเวลาในการหยิบสินค้าได้มหาศาล อย่าลืมติดป้ายและบาร์โค้ดให้ชัดเจนเพื่อความเร็วในการค้นหา
6. ใช้เทคโนโลยีช่วยตรวจสอบแบบเรียลไทม์
ถ้าคุณยังพึ่ง Excel ในการบริหารสต็อก คุณอาจเสียเปรียบคู่แข่ง ลองใช้ระบบ WMS (Warehouse Management System) หรือ ERP ที่เชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์กับฝ่ายอื่นๆ เช่น การขายและการจัดซื้อ เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้สถานะสินค้าอย่างแม่นยำ
7. สต็อกน้อยแต่หมุนเวียนไว ดีกว่าสต็อกเยอะแต่ค้าง
หลายคนเข้าใจผิดว่าสต็อกเยอะคือความมั่นคง แต่ในความเป็นจริง สต็อกที่ค้างคือเงินจม ยิ่งหมุนเวียนเร็วเท่าไหร่ ยิ่งดีต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ
สรุป
การจัดการสต็อกอย่างมือโปร ไม่ใช่แค่การรู้ว่ามีของเท่าไหร่ในคลัง แต่คือการรู้ว่า ของที่มีอยู่ ควรมีไหม อยู่ตรงไหน และ จะจัดการอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด หวังว่าเคล็ดลับจากบทความนี้จะช่วยให้คุณยกระดับการบริหารสต็อกไปอีกขั้น!
สินค้าไม่ใช่ทั้งหมดจะมีความสำคัญเท่ากัน การใช้หลัก ABC Analysis ช่วยให้คุณแยกสินค้าได้ว่า:
- A = สินค้าที่มีมูลค่าสูง แต่หมุนเวียนเร็ว
- B = สินค้ามูลค่าปานกลาง
- C = สินค้าที่มีมูลค่าต่อหน่วยต่ำ แต่มักมีจำนวนมาก
2. FIFO ไม่ใช่แค่ทฤษฎี
First In, First Out (FIFO) คือหลักการที่สินค้าเข้าก่อน ต้องออกก่อน โดยเฉพาะสินค้าที่มีวันหมดอายุ เช่น อาหารหรือเครื่องสำอาง การไม่ใช้ FIFO อย่างเคร่งครัดคือกับดักที่ทำให้ของเสียหายและเกิดต้นทุนแฝงมหาศาล
3. ตั้งค่าจุดสั่งซื้ออัตโนมัติ (Reorder Point)
อย่ารอให้สินค้าหมดก่อนแล้วค่อยสั่ง ระบบจัดการสต็อกที่ดีควรมี Reorder Point หรือจุดสั่งซื้อขั้นต่ำที่ระบบแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเติมสินค้า เพื่อป้องกันการขาดสต็อกที่อาจทำให้เสียลูกค้า
4. ตรวจสต็อกเป็นประจำแบบ Cycle Count
แทนที่จะรอตรวจสต็อกทั้งคลังปีละครั้ง ลองเปลี่ยนมาใช้วิธี Cycle Count หรือการตรวจสต็อกแบบหมุนเวียนทุกสัปดาห์/เดือน ช่วยลดโอกาสผิดพลาด และไม่ต้องหยุดการดำเนินงานทั้งหมด
5. การจัดเรียงมีผลมากกว่าที่คิด
การจัดเรียงสินค้าตามความถี่ในการหยิบใช้งาน (Fast-moving products ให้อยู่ใกล้ทางเข้า/ออก) สามารถลดเวลาในการหยิบสินค้าได้มหาศาล อย่าลืมติดป้ายและบาร์โค้ดให้ชัดเจนเพื่อความเร็วในการค้นหา
6. ใช้เทคโนโลยีช่วยตรวจสอบแบบเรียลไทม์
ถ้าคุณยังพึ่ง Excel ในการบริหารสต็อก คุณอาจเสียเปรียบคู่แข่ง ลองใช้ระบบ WMS (Warehouse Management System) หรือ ERP ที่เชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์กับฝ่ายอื่นๆ เช่น การขายและการจัดซื้อ เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้สถานะสินค้าอย่างแม่นยำ
7. สต็อกน้อยแต่หมุนเวียนไว ดีกว่าสต็อกเยอะแต่ค้าง
หลายคนเข้าใจผิดว่าสต็อกเยอะคือความมั่นคง แต่ในความเป็นจริง สต็อกที่ค้างคือเงินจม ยิ่งหมุนเวียนเร็วเท่าไหร่ ยิ่งดีต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ
สรุป
การจัดการสต็อกอย่างมือโปร ไม่ใช่แค่การรู้ว่ามีของเท่าไหร่ในคลัง แต่คือการรู้ว่า ของที่มีอยู่ ควรมีไหม อยู่ตรงไหน และ จะจัดการอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด หวังว่าเคล็ดลับจากบทความนี้จะช่วยให้คุณยกระดับการบริหารสต็อกไปอีกขั้น!
บทความที่เกี่ยวข้อง
โกดังรก หาของไม่เจอ ของหายสาบสูญ? แก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยหลักการ "5 ส." ที่จะช่วยเปลี่ยนคลังสินค้าของคุณให้เป็นระเบียบ ลดอุบัติเหตุ และลดเวลาหยิบสินค้าได้จริงกว่า 50% เหมือนมาตรฐานที่ BS Express เลือกใช้
13 ธ.ค. 2025
จะจ่ายค่าเช่าโกดังไปทำไม? ในเมื่อของขายได้ทันทีที่มาถึง
สำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าชิ้นใหญ่ (Bulky Items) เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออะไหล่ยนต์ "พื้นที่จัดเก็บ" คือต้นทุนมหาศาล ยิ่งของชิ้นใหญ่ ยิ่งกินที่ ยิ่งเปลืองค่าเช่าโกดัง และยิ่งของค้างนาน เงินทุนก็ยิ่งจม (Dead Stock)
แต่ในยุค Logistics 5.0 เรามีโมเดลการขนส่งที่ฉลาดกว่านั้น นั่นคือ "Cross-Docking (การถ่ายลำสินค้า)" โมเดลที่ทำให้สินค้าของคุณเดินทางจากโรงงานผู้ผลิต เปลี่ยนรถที่ศูนย์กระจายสินค้า และวิ่งตรงไปหาลูกค้าปลายทางทันทีโดย "ไม่ต้องพักค้างคืนในโกดัง"
ฟังดูเหมือนง่าย แต่หัวใจสำคัญที่จะทำให้ Cross-Docking สำเร็จได้ คือ "ความแม่นยำ" และนี่คือที่มาของ Cross-Docking อัจฉริยะ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จาก BS Group ครับ
13 ธ.ค. 2025
การเลือกชั้นวางสินค้าในคลัง (Racking System) เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมีผลต่อความปลอดภัย พื้นที่จัดเก็บ และความเร็วในการทำงานของคลังสินค้าโดยตรง
12 ธ.ค. 2025
BS&DC SAI5


