รู้จักธุรกิจแบบ Direct-to-Customer (D2C)
อัพเดทล่าสุด: 22 ม.ค. 2025
581 ผู้เข้าชม

อะไรคือธุรกิจแบบ D2C
จากการทำธุรกิจแบบดั้งเดิมในอดีตที่มีการผลิตสินค้าจากโรงงานที่ประกอบไปด้วยขั้นตอนต่างๅที่ผ่านทั้งผู้ผลิต (Supplier) โรงงานผลิต (Manufacturer) ผู้ค้าส่ง (Wholesaler) ตัวแทนจำหน่าย (Distributor) และผู้ค้าปลีก (Retailer) จนมาถึงลูกค้าซึ่งใช้เวลาและกระบวนการทั้งหมดค่อนข้างนานและทำผ่านหลายขั้นตอน ผู้ผลิตก็ได้ปรับตัวเองไปสู่การติดต่อซื้อขายตรงกับลูกค้า ตัดปัญหาด้านตัวกลางออกไปและยังทำให้สื่อสารกับลูกค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Direct-to-Customer (D2C) เป็นรูปแบบธุรกิจที่ผู้ผลิตสามารถส่งสินค้าตรงไปยังลูกค้าโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางหรือขั้นตอนที่มากหมายเหมือนในอดีตที่เคยทำกันมา ซึ่งเป็นการปรับตัวของผู้ผลิตให้เค้ามามีบทบาทในการติดต่อกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น และมันก็เป็นผลพวงมาจากโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดียที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับธุรกิจรูปแบบนี้

แต่หากเรามาลองสังเกตดูดีๆเราจะยังไม่ค่อยเห็นผู้ผลิตเข้ามาเล่นในธุรกิจรูปแบบนี้เท่าที่ควร เพราะสาเหตุเนื่องมาจากผู้ผลิตนั้นมักจะขายสินค้าทีละมากๆ (Bulk Sales) ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้านั้นอาจจะไม่ได้ต้องการสินค้าเยอะมากมายขนาดนั้น ผู้ผลิตเองก็ต้องปรับมาใช้วิธีการผสมผสานระหว่างการผลิตสินค้าปริมาณมากๆร่วมกับการผลิตสินค้าแบบตามความต้องการ (On-Demand) มากขึ้น โดยใช้วิธีการเปิดขายสินค้าบน E-Marketplace ต่างๆจากผู้ผลิตโดยตรง เช่น การขายผ่าน Shopee, Lazada, Amazon หรือผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆและสำหรับธุรกิจแบบ D2C นั้นจะมีลักษณะดังนี้
-ธุรกิจจะเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไร้ซึ่งกำแพงกั้นอีกต่อไป
-มีความยืดหยุ่นด้านเงินทุนสามารถแบ่งให้เช่าบางส่วนของกระบวนการดำเนินงานได้
-ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอย่างมาก
-จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ
-ปราศจากตัวกลางซึ่งสามารถติดต่อลูกค้าได้โดยตรง
-มีความเข้าใจในความสำคัญของการสื่อสารตรงกับลูกค้าและการจำเป็นต้องนำระบบ CRM มาปรับใช้ให้เหมาะสม
-รูปแบบโครงสร้างราคายืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับแบบเก่า
-เห็นภาพในการนำเอา Digital Marketing มาใช้มากขึ้น
-มีความยืดหยุ่นด้านเงินทุนสามารถแบ่งให้เช่าบางส่วนของกระบวนการดำเนินงานได้
-ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอย่างมาก
-จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ
-ปราศจากตัวกลางซึ่งสามารถติดต่อลูกค้าได้โดยตรง
-มีความเข้าใจในความสำคัญของการสื่อสารตรงกับลูกค้าและการจำเป็นต้องนำระบบ CRM มาปรับใช้ให้เหมาะสม
-รูปแบบโครงสร้างราคายืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับแบบเก่า
-เห็นภาพในการนำเอา Digital Marketing มาใช้มากขึ้น
ประโยชน์ของการทำธุรกิจแบบ D2C
1. หมดปัญหาเรื่องคนกลาง
ในการทำธุรกิจเวลาเกิดปัญหาด้านต้นทุนหรือรายจ่ายที่มากขึ้น ก็ต้องหันมามองด้านการบริหารจัดการกับสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษซึ่งมันมีผลต่อการสร้างกำไรของธุรกิจ การทำธุรกิจแบบ D2C อาจช่วยในการลดต้นทุนจากการมีคนกลางรวมถึงการที่ไม่ต้อง Mark-up ราคาให้สูงขึ้นผ่านคนกลาง ไม่ต้องคิดคำนวณรายได้และรายจ่ายที่ซับซ้อนวุ่นวาย ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถขายตรงกับลูกค้าได้ในราคาที่มีความเหมาะสมมากขึ้นและกำไรที่เพิ่มขึ้น
ในการทำธุรกิจเวลาเกิดปัญหาด้านต้นทุนหรือรายจ่ายที่มากขึ้น ก็ต้องหันมามองด้านการบริหารจัดการกับสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษซึ่งมันมีผลต่อการสร้างกำไรของธุรกิจ การทำธุรกิจแบบ D2C อาจช่วยในการลดต้นทุนจากการมีคนกลางรวมถึงการที่ไม่ต้อง Mark-up ราคาให้สูงขึ้นผ่านคนกลาง ไม่ต้องคิดคำนวณรายได้และรายจ่ายที่ซับซ้อนวุ่นวาย ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถขายตรงกับลูกค้าได้ในราคาที่มีความเหมาะสมมากขึ้นและกำไรที่เพิ่มขึ้น
2. เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้น
ปกติผู้ผลิตแทบจะไม่ได้ติดต่อกับลูกค้าโดยตรงเพราะลูกค้าจะติดต่อผ่านตัวกลาง แต่การปรับธุรกิจมาเป็นแบบ D2C จะช่วยให้ผู้ผลิตเองสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตรู้จักความต้องการของลูกค้ารวมไปถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้ และนำไปปรับใช้หรือผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการได้ในอนาคต
ปกติผู้ผลิตแทบจะไม่ได้ติดต่อกับลูกค้าโดยตรงเพราะลูกค้าจะติดต่อผ่านตัวกลาง แต่การปรับธุรกิจมาเป็นแบบ D2C จะช่วยให้ผู้ผลิตเองสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตรู้จักความต้องการของลูกค้ารวมไปถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้ และนำไปปรับใช้หรือผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการได้ในอนาคต
3. สร้าง Omni-Channel Experience
ผู้ผลิตจะได้ทำทุกอย่างทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิตไปจนถึงกิจกรรมทางการตลาด ผ่านช่องทางต่างๆไปยังการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งนอกจากจะสร้างประสบการณ์ให้กับตัวผู้ผลิตเองแล้วก็ยังต้องพัฒนาปรับปรุงช่องทางต่างๆทั้งออฟไลน์และออนไลน์กับลูกค้าด้วยเช่นกัน
ผู้ผลิตจะได้ทำทุกอย่างทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิตไปจนถึงกิจกรรมทางการตลาด ผ่านช่องทางต่างๆไปยังการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งนอกจากจะสร้างประสบการณ์ให้กับตัวผู้ผลิตเองแล้วก็ยังต้องพัฒนาปรับปรุงช่องทางต่างๆทั้งออฟไลน์และออนไลน์กับลูกค้าด้วยเช่นกัน
4. สามารถควบคุมทุกๆอย่างได้เป็นอย่างดี
นอกเหนือจากคุณภาพในการผลิตสินค้าแล้วคุณภาพด้านอื่นๆ เช่น การขนส่ง การให้บริการ การตอบคำถามลูกค้า กระบวนการซื้อขาย แต่ด้วยการที่ผู้ผลิตไม่สามารถควบคุมขั้นตอนอื่นๆทางการขายได้และอาจเกิดการที่ตัวกลางทำให้แบรนด์หรือสินค้านั้นเสียชื่อเสียงในด้านใดด้านหนึ่ง แต่เมื่อปรับเป็นธุรกิจแบบ D2C แล้วก็จะทำให้ปัญหาที่เราไม่สามารถควบคุมได้นั้นหมดไป จากการที่ผู้ผลิตเองมีการปรับกระบวนการภายในให้สอดรับกับธุรกิจในการติดต่อกับลูกค้าได้โดยตรงควบคุมทุกอย่างได้โดยตรงนั่นเอง
BY : Jim
ที่มา : https://www.popticles.com/business/what-is-direct-to-customer-d2c-business/
บทความที่เกี่ยวข้อง
จบปัญหา "มาส่งตอนไม่อยู่" สู่ยุคที่ "ลูกค้าเป็นคนคุมเกม"
เคยไหมครับ? สั่งของไปแล้วต้องมานั่งลุ้นว่าขนส่งจะโทรมาตอนไหน พอโทรมาก็ดันติดประชุม หรือพอของมาถึงก็ไม่มีคนอยู่บ้านจนต้องตีของกลับ... นี่คือ Pain Point คลาสสิกที่ทำลายประสบการณ์การซื้อของออนไลน์มานานนับสิบปี
แต่ในปี 2025 ยุคที่ "ลูกค้าคือพระเจ้า" อย่างแท้จริง การขนส่งแบบเดิมที่กำหนดเวลาตายตัว (8.00 - 17.00 น.) กำลังจะตายไป และถูกแทนที่ด้วยเทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า "Hyper-Personalized Delivery" หรือ การขนส่งแบบรู้ใจเฉพาะบุคคล
วันนี้ BS Group จะพาคุณไปดูว่า เมื่อการตลาดและโลจิสติกส์มาเจอกัน มันจะเปลี่ยนการส่งของธรรมดา ให้กลายเป็น "บริการที่ลูกค้ารัก" ได้อย่างไร?
17 ธ.ค. 2025
ในยุคที่โซเชียลมีเดียรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แบรนด์ของคุณอาจกลายเป็น "ดราม่า" ได้ในชั่วข้ามคืน ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดจากการสื่อสาร สินค้ามีปัญหา หรือการบริการที่ไม่ประทับใจ หลายคนมองว่านี่คือหายนะ แต่ในมุมมองของนักการตลาดมืออาชีพ "วิกฤตคือบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความเชื่อมั่น"
15 ธ.ค. 2025
เจาะลึกกลยุทธ์ Peak Season Management สำหรับร้านค้าและธุรกิจขนส่ง ทำอย่างไรเมื่อยอดขายพุ่งแต่ส่งของไม่ทัน? พร้อมวิธีจัดการสต็อกและขนส่งให้ราบรื่นที่สุด
13 ธ.ค. 2025
นักศึกษาฝึกงาน(คลัง)


Contact Center
