แชร์

การคำนวณ Carbon Footprint ในซัพพลายเชนแบบเข้าใจง่าย

ChatGPT_Image_27_มิ_ย_2568_09_35_26.png BANKKUNG
อัพเดทล่าสุด: 10 ธ.ค. 2025
6 ผู้เข้าชม

Carbon Footprint คืออะไร?


Carbon Footprint ในซัพพลายเชน หมายถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากการผลิต การขนส่ง การจัดเก็บ และการจัดการสินค้าในระบบทั้งหมด ซึ่งนิยมวัดเป็นหน่วย COe (คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)

ยิ่งวัดได้ชัดเจนเท่าไหร่ ธุรกิจก็ยิ่งรู้ว่าควรลดตรงไหนเพื่อประหยัดต้นทุนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น


3 ขั้นตอนการคำนวณ Carbon Footprint แบบง่ายที่สุด


1. เก็บข้อมูลกิจกรรม (Activity Data)
ตัวอย่างข้อมูลที่ต้องเก็บ ได้แก่

ปริมาณน้ำมันที่ใช้ในการขนส่ง
หน่วยไฟฟ้าที่ใช้ในคลังสินค้า
ระยะทางการขนส่ง
ปริมาณวัตถุดิบหรือสินค้า

2. ใช้ค่า Emission Factor (EF)
Emission Factor คือค่าเฉลี่ยการปล่อยคาร์บอนของกิจกรรมแต่ละประเภท เช่น

ดีเซล 1 ลิตร ปล่อยกี่กิโลกรัม CO
ไฟฟ้า 1 kWh ปล่อยกี่กิโลกรัม CO
หน่วยงานรัฐและสถาบันสากลมีค่า EF ให้ใช้อ้างอิง เช่น IPCC, TGO


3. คำนวณปริมาณคาร์บอน
สูตรง่ายที่สุดคือ:

Carbon Emission = Activity Data × Emission Factor

ตัวอย่าง:
หากใช้ดีเซล 500 ลิตร × EF 2.68 = 1,340 kg COe

รวมค่าของทุกกิจกรรม ก็จะได้ Carbon Footprint ทั้งระบบนั่นเอง


ส่วนของซัพพลายเชนที่มักปล่อยคาร์บอนสูง

การขนส่งทางถนน (Scope 1)
ไฟฟ้าในคลังสินค้าและโรงงาน (Scope 2)
วัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ (Scope 3)
การกำจัดบรรจุภัณฑ์หลังการใช้งาน

การรู้ว่า ปล่อยตรงไหนเยอะ คือจุดเริ่มต้นของการลดคาร์บอนอย่างยั่งยืน


ทำอย่างไรให้คาร์บอนฟุตพรินต์ลดลงจริง

เปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าหรือขนส่งทางราง
ใช้ LTL รวมรอบขนส่ง
ติดตั้งโซลาร์เซลล์
เปลี่ยนวัสดุแพ็กเกจจิ้งให้เบาลง
ใช้ระบบวางแผนเส้นทางอัตโนมัติ

ยิ่งวัดเร็ว ยิ่งลดเร็ว และยิ่งสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจมากขึ้น


บทความที่เกี่ยวข้อง
โลจิสติกส์คาร์บอนต่ำคืออะไร? ทำไมธุรกิจยุคใหม่ต้องสนใจ
โลจิสติกส์คาร์บอนต่ำคือแนวคิดการลดการปล่อยคาร์บอนในระบบขนส่งและซัพพลายเชน ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มความยั่งยืนให้ธุรกิจยุคใหม่
ChatGPT_Image_27_มิ_ย_2568_09_35_26.png BANKKUNG
10 ธ.ค. 2025
ขนส่งทางรางช่วยลดต้นทุนและมลพิษได้อย่างไร
ขนส่งทางรางกำลังเป็นทางเลือกสำคัญของธุรกิจไทย ช่วยลดต้นทุน ลดมลพิษ และเพิ่มความเสถียรในการขนส่งระยะไกล
ร่วมมือ.jpg เหมาคัน
10 ธ.ค. 2025
FOMO Marketing: ศิลปะการกระตุ้นความ "เสียดาย" ให้กลายเป็น "ยอดขาย" แบบเนียน ๆ (ไม่ยัดเยียด)
เคยไหม? ที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะซื้อของชิ้นนั้น แต่พอเห็นป้าย "เหลือ 2 ชิ้นสุดท้าย" หรือเพื่อนในโซเชียลเริ่มแชร์กันเต็มหน้าฟีด จู่ๆ มือของคุณก็กดสั่งซื้อไปโดยอัตโนมัติ... นี่คือกำลังของ FOMO (Fear of Missing Out) หรือ "ความกลัวที่จะตกขบวน" ในโลกการตลาด FOMO คืออาวุธที่ทรงพลังมาก แต่ถ้าใช้ไม่เป็น มันจะกลายเป็น "ดาบสองคม" ที่ทำให้แบรนด์ดูน่ารำคาญและยัดเยียดทันที วันนี้เราจะมาเจาะลึกเทคนิคการใช้ FOMO Marketing ให้ดู Classy ดูแพง และกระตุ้นลูกค้าได้แบบแยบยลครับ
ร่วมมือ.jpg Contact Center
10 ธ.ค. 2025
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ