ทำ Content โลจิสติกส์ให้เข้าใจง่าย

ทำไมคอนเทนต์โลจิสติกส์ต้อง ทำให้ง่าย?
โลจิสติกส์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีศัพท์เทคนิคเยอะที่สุด ตั้งแต่ WMS, Fulfillment, Line Haul, LTL, Cross Dock ไปจนถึง Lead Time แต่ลูกค้าจำนวนมากไม่รู้ความหมายทั้งหมด สิ่งที่เขาต้องการคือคำตอบง่าย ๆ ว่า ส่งของได้เร็วไหม ปลอดภัยไหม ตรงเวลาไหม และราคาคุ้มไหม
ดังนั้นเป้าหมายของคอนเทนต์คือ ย่อยเรื่องยาก ให้คนอ่านรู้สึกว่าเข้าใจทันที โดยไม่ลดทอนความเป็นมืออาชีพ
3 หลักคิดทำคอนเทนต์โลจิสติกส์ให้เข้าใจง่าย
1) เริ่มจาก Pain Point ที่ลูกค้าเจอจริง
แทนที่จะเริ่มจากการอธิบายเทคโนโลยี ให้เริ่มจากปัญหาที่ลูกค้าเจอ เช่น
ส่งของแล้วหาย
Tracking ไม่ชัด
ช้า ไม่ตรงเวลา
ค่าขนส่งไม่คงที่
ไม่เข้าใจเงื่อนไข LTL หรือการแพ็คสินค้า
จากนั้นค่อยโยงไปว่า บริษัทช่วยแก้ได้อย่างไร ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกับตัวเองทันที
2) ใช้ภาพ + อินโฟกราฟิก มากกว่าใช้คำยาว ๆ
คอนเทนต์โลจิสติกส์อ่านง่ายขึ้นมากถ้าเปลี่ยนจากตัวหนังสือเป็นภาพ เช่น
ขั้นตอนการขนส่ง 5 ขั้นตอน
แผนภาพ Flow เส้นทาง LTL
ตารางเปรียบเทียบบริการ
ตัวอย่างสินค้าที่เหมาะกับบริการแต่ละประเภท
ผู้อ่านมักตัดสินใจได้ใน 35 วินาทีแรก ภาพจึงมีผลอย่างมาก โดยเฉพาะบน Facebook, LinkedIn, TikTok และเว็บบริษัท
3) เล่าจากพื้นที่จริง คนจริง สถานการณ์จริง
โลจิสติกส์เป็นงานบริการที่ต้องดู หน้างาน ดังนั้นคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพคือ
ภาพหลังบ้านในคลัง
ทีมแพ็คของจริง
คนขับรถตัวจริง
จุดคัดแยกสินค้า
ตัวอย่างเหตุฉุกเฉินที่เคยแก้ได้
สิ่งเหล่านี้เพิ่มความเชื่อถือมากกว่าข้อความสวย ๆ เป็น 10 เท่า ลูกค้าจะเห็นว่าบริษัทมีระบบจริง ไม่ได้พูดลอย ๆ
ไอเดียคอนเทนต์โลจิสติกส์ที่ทำให้อ่านง่าย
1 วันของพนักงานคัดแยกสินค้า
ก่อนพัสดุถึงมือคุณ เขาผ่านจุดไหนบ้าง?
LTL คืออะไร? ใช้เมื่อไหร่ถึงจะคุ้มที่สุด
เทคนิคแพ็คสินค้าให้ไม่แตก ใน 10 วินาที
เรารับมือพัสดุเร่งด่วนอย่างไรในช่วงพีก
รีวิวเคสจริง: หน้างานมีปัญหา แต่ทีมแก้อย่างไร
ทุกชิ้นควรจบด้วย Call to Action เช่น
สอบถามเส้นทางหรือเรทขนส่งเพิ่มเติมได้เลยครับ
สรุป
การทำคอนเทนต์โลจิสติกส์ให้อ่านง่ายไม่ใช่การลดความเป็นมืออาชีพ แต่คือการสื่อสารให้ใกล้ความต้องการลูกค้ามากที่สุด ใช้ภาพ สตอรี่ และตัวอย่างจริง แล้วคุณจะได้คอนเทนต์ที่ ตั้งใจสื่อสาร มากกว่า ตั้งใจขาย
BANKKUNG

Contact Center

