"ประกันสินค้าขนส่ง จำเป็นแค่ไหน? หรือแค่จ่ายเพิ่มฟรีๆ (เคสไหนควรซื้อ เคสไหนไม่ต้อง)"
อัพเดทล่าสุด: 6 ธ.ค. 2025
9 ผู้เข้าชม

ประกันสินค้าขนส่ง จำเป็นแค่ไหน? หรือแค่จ่ายเพิ่มฟรีๆ (เคสไหนควรซื้อ เคสไหนไม่ต้อง)
เวลาจะส่งของชิ้นใหญ่หรือของมีราคา หลายคนมักจะชะงักเมื่อเจอกับช่อง "ต้องการซื้อประกันสินค้าเพิ่มหรือไม่?"
ในใจอาจจะคิดว่า "ค่าส่งก็จ่ายแล้ว ทำไมต้องจ่ายเพิ่มอีก? เปลืองตังค์เปล่าๆ" หรือ "ขนส่งก็ต้องดูแลของให้ดีสิ จะให้เราจ่ายค่าประกันทำไม"
ความคิดเหล่านี้ไม่ผิดครับ! แต่ในโลกของการขนส่งที่มีปัจจัยควบคุมยาก (เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนน ภัยธรรมชาติ) การเข้าใจเรื่อง "ความรับผิดชอบเบื้องต้น" vs "ประกันภัยเสริม" จะช่วยให้คุณประหยัดเงินแสนได้ด้วยเงินหลักร้อย วันนี้ BS Express จะมากางตำราให้ดูว่า เคสไหนที่คุณ "ควรซื้อ" และเคสไหนที่ "ไม่ต้องซื้อ" ก็ได้
ความจริงข้อที่ 1: "ความรับผิดชอบพื้นฐาน" มีวงเงินจำกัด
ขนส่งทุกเจ้าในไทยมีความรับผิดชอบพื้นฐานในกรณีของเสียหายหรือสูญหายอยู่แล้ว แต่... "วงเงินจำกัด" ครับ (เช่น รับผิดชอบตามน้ำหนัก หรือไม่เกิน 2,000 - 5,000 บาทต่อบิล แล้วแต่เงื่อนไขบริษัท)
ถามตัวเองง่ายๆ: ถ้าคุณส่ง ทีวีจอแบนราคา 30,000 บาท แล้วเกิดเหตุสุดวิสัยจนจอแตก ขนส่งชดเชยให้ 2,000 บาทตามเงื่อนไขพื้นฐาน... คุณรับความเสี่ยงส่วนต่าง 28,000 บาท ไหวไหม?
ถ้าคำตอบคือ "ไม่ไหว" นั่นคือเหตุผลที่ ประกันสินค้า (Cargo Insurance) เข้ามามีบทบาทครับ
เคสที่ "ควรซื้อ" (Must Have)
ยอมจ่ายเพิ่มนิดหน่อย แลกกับความคุ้มครองเต็มมูลค่า คุ้มกว่าแน่นอน
สินค้ามูลค่าสูง (High Value Goods): เครื่องใช้ไฟฟ้าแพงๆ, เฟอร์นิเจอร์แบรนด์เนม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, หรืออะไหล่เครื่องจักรที่มีราคาสูงกว่าวงเงินรับประกันพื้นฐาน
สินค้าเปราะบาง (Fragile Items): กระจกเงาบานใหญ่, ท็อปหินอ่อน, โคมไฟระย้า, งานศิลปะ ถึงแม้จะแพ็คมาดีแค่ไหน แต่ความเสี่ยงย่อมมีมากกว่าสินค้าปกติ
สินค้าธุรกิจ (B2B Shipments): หากคุณเป็นร้านค้า การส่งของให้ลูกค้าแล้วของพัง นอกจากจะเสียเงินคืนลูกค้าแล้ว ยังเสีย "ชื่อเสียง" ด้วย การมีประกันช่วยให้คุณเคลมเงินคืนได้ไว และมีงบไปจัดการเปลี่ยนของใหม่ให้ลูกค้าได้ทันที
เคสที่ "อาจไม่ต้องซื้อ" (Nice to Have)
ประหยัดงบได้ ถ้ามั่นใจในการแพ็คและธรรมชาติของสินค้า
สินค้าทนทาน ไม่แตกหักง่าย: เช่น เสื้อผ้า, เหล็กเส้น, ท่อ PVC, ยางรถยนต์, หรือพลาสติกหนาๆ ของพวกนี้โอกาสเสียหายน้อยมากหากไม่เกิดอุบัติเหตุรุนแรง
สินค้ามือสองราคาประหยัด: ของใช้แล้วที่มูลค่าไม่สูงมาก หรือของที่หากมีรอยขีดข่วนเล็กน้อยก็ยังใช้งานได้ ไม่ซีเรียสเรื่องความสวยงาม
มูลค่าสินค้าต่ำกว่าวงเงินพื้นฐาน: ถ้าของราคา 1,000 บาท และขนส่งรับผิดชอบพื้นฐาน 2,000 บาทอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเพิ่มครับ
ที่ BS Express เราช่วยคุณเลือกได้!
ที่ BS Express เรายึดถือความจริงใจ เราจะไม่เชียร์ให้คุณจ่ายเงินพร่ำเพรื่อ
เรามีมาตรฐานการดูแลสินค้าที่ดีเยี่ยมเป็นทุนเดิม ใช้คนยก ไม่โยน มีผ้าใบคลุม และรัดตรึงสินค้าแน่นหนา
แต่สำหรับลูกค้าที่ส่งของมูลค่าสูง เรามี Option ประกันภัย ให้เลือกตามความสมัครใจ เพื่อความอุ่นใจสูงสุดของคุณ
"อย่ามองข้ามความปลอดภัยเล็กๆ น้อยๆ เพราะบางทีการจ่ายเพิ่มหลักร้อย อาจปกป้องเงินหลักหมื่นของคุณได้"a
เวลาจะส่งของชิ้นใหญ่หรือของมีราคา หลายคนมักจะชะงักเมื่อเจอกับช่อง "ต้องการซื้อประกันสินค้าเพิ่มหรือไม่?"
ในใจอาจจะคิดว่า "ค่าส่งก็จ่ายแล้ว ทำไมต้องจ่ายเพิ่มอีก? เปลืองตังค์เปล่าๆ" หรือ "ขนส่งก็ต้องดูแลของให้ดีสิ จะให้เราจ่ายค่าประกันทำไม"
ความคิดเหล่านี้ไม่ผิดครับ! แต่ในโลกของการขนส่งที่มีปัจจัยควบคุมยาก (เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนน ภัยธรรมชาติ) การเข้าใจเรื่อง "ความรับผิดชอบเบื้องต้น" vs "ประกันภัยเสริม" จะช่วยให้คุณประหยัดเงินแสนได้ด้วยเงินหลักร้อย วันนี้ BS Express จะมากางตำราให้ดูว่า เคสไหนที่คุณ "ควรซื้อ" และเคสไหนที่ "ไม่ต้องซื้อ" ก็ได้
ความจริงข้อที่ 1: "ความรับผิดชอบพื้นฐาน" มีวงเงินจำกัด
ขนส่งทุกเจ้าในไทยมีความรับผิดชอบพื้นฐานในกรณีของเสียหายหรือสูญหายอยู่แล้ว แต่... "วงเงินจำกัด" ครับ (เช่น รับผิดชอบตามน้ำหนัก หรือไม่เกิน 2,000 - 5,000 บาทต่อบิล แล้วแต่เงื่อนไขบริษัท)
ถามตัวเองง่ายๆ: ถ้าคุณส่ง ทีวีจอแบนราคา 30,000 บาท แล้วเกิดเหตุสุดวิสัยจนจอแตก ขนส่งชดเชยให้ 2,000 บาทตามเงื่อนไขพื้นฐาน... คุณรับความเสี่ยงส่วนต่าง 28,000 บาท ไหวไหม?
ถ้าคำตอบคือ "ไม่ไหว" นั่นคือเหตุผลที่ ประกันสินค้า (Cargo Insurance) เข้ามามีบทบาทครับ
เคสที่ "ควรซื้อ" (Must Have)
ยอมจ่ายเพิ่มนิดหน่อย แลกกับความคุ้มครองเต็มมูลค่า คุ้มกว่าแน่นอน
สินค้ามูลค่าสูง (High Value Goods): เครื่องใช้ไฟฟ้าแพงๆ, เฟอร์นิเจอร์แบรนด์เนม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, หรืออะไหล่เครื่องจักรที่มีราคาสูงกว่าวงเงินรับประกันพื้นฐาน
สินค้าเปราะบาง (Fragile Items): กระจกเงาบานใหญ่, ท็อปหินอ่อน, โคมไฟระย้า, งานศิลปะ ถึงแม้จะแพ็คมาดีแค่ไหน แต่ความเสี่ยงย่อมมีมากกว่าสินค้าปกติ
สินค้าธุรกิจ (B2B Shipments): หากคุณเป็นร้านค้า การส่งของให้ลูกค้าแล้วของพัง นอกจากจะเสียเงินคืนลูกค้าแล้ว ยังเสีย "ชื่อเสียง" ด้วย การมีประกันช่วยให้คุณเคลมเงินคืนได้ไว และมีงบไปจัดการเปลี่ยนของใหม่ให้ลูกค้าได้ทันที
เคสที่ "อาจไม่ต้องซื้อ" (Nice to Have)
ประหยัดงบได้ ถ้ามั่นใจในการแพ็คและธรรมชาติของสินค้า
สินค้าทนทาน ไม่แตกหักง่าย: เช่น เสื้อผ้า, เหล็กเส้น, ท่อ PVC, ยางรถยนต์, หรือพลาสติกหนาๆ ของพวกนี้โอกาสเสียหายน้อยมากหากไม่เกิดอุบัติเหตุรุนแรง
สินค้ามือสองราคาประหยัด: ของใช้แล้วที่มูลค่าไม่สูงมาก หรือของที่หากมีรอยขีดข่วนเล็กน้อยก็ยังใช้งานได้ ไม่ซีเรียสเรื่องความสวยงาม
มูลค่าสินค้าต่ำกว่าวงเงินพื้นฐาน: ถ้าของราคา 1,000 บาท และขนส่งรับผิดชอบพื้นฐาน 2,000 บาทอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเพิ่มครับ
ที่ BS Express เราช่วยคุณเลือกได้!
ที่ BS Express เรายึดถือความจริงใจ เราจะไม่เชียร์ให้คุณจ่ายเงินพร่ำเพรื่อ
เรามีมาตรฐานการดูแลสินค้าที่ดีเยี่ยมเป็นทุนเดิม ใช้คนยก ไม่โยน มีผ้าใบคลุม และรัดตรึงสินค้าแน่นหนา
แต่สำหรับลูกค้าที่ส่งของมูลค่าสูง เรามี Option ประกันภัย ให้เลือกตามความสมัครใจ เพื่อความอุ่นใจสูงสุดของคุณ
"อย่ามองข้ามความปลอดภัยเล็กๆ น้อยๆ เพราะบางทีการจ่ายเพิ่มหลักร้อย อาจปกป้องเงินหลักหมื่นของคุณได้"a
บทความที่เกี่ยวข้อง
FTL vs LTL: เหมาคัน หรือ ฝากส่ง? เลือกแบบไหนให้ประหยัดต้นทุนและตอบโจทย์ธุรกิจ Meta Description: สับสนระหว่าง FTL (เหมาคัน) กับ LTL (ฝากส่ง) ใช่ไหม? เจาะลึกข้อดี-ข้อเสียของรูปแบบการขนส่งทั้ง 2 แบบ วิธีเลือกให้เหมาะกับปริมาณของ และเทคนิคลดต้นทุนขนส่งที่คุณต้องรู้
6 ธ.ค. 2025
ส่งของไปเหนือ ล่องใต้ หรือไปอีสาน เส้นทางไหนหินที่สุด? วิเคราะห์เส้นทางขนส่งทั่วไทย เพื่อช่วยผู้ประกอบการวางแผนการจัดส่ง ลดความเสียหาย และประหยัดต้นทุน
5 ธ.ค. 2025
5 วิธีลดต้นทุนค่าขนส่งสำหรับธุรกิจ SME: เพิ่มกำไรให้ธุรกิจ โดยไม่ลดคุณภาพบริการแบกรับค่าส่งไม่ไหว? พบกับ 5 วิธีลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้าสำหรับ SME ที่ช่วยเซฟเงินในกระเป๋า เพิ่มกำไรให้ธุรกิจ แต่ลูกค้ายังได้รับบริการที่รวดเร็วและประทับใจเหมือนเดิม
5 ธ.ค. 2025
ผึ้ง เด็กฝึกงาน


Contact Center
