การใช้ Machine Learning คาดการณ์ปริมาณงานรายวัน

โลจิสติกส์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ความผันผวนสูงที่สุด วันหนึ่งออเดอร์อาจพุ่ง 3 เท่า แต่วันถัดมากลับเงียบจนใช้พนักงานไม่คุ้ม การจัดกำลังคน วางแผนเส้นทาง หรือจัดสต็อก โดยไม่รู้ปริมาณงานล่วงหน้าเป็นต้นทุนที่สูญเปล่าอย่างมาก จึงเป็นเหตุผลที่หลายองค์กรเริ่มนำ Machine Learning (ML) มาใช้ทำนายปริมาณงานรายวันแบบอัตโนมัติ
ทำไมต้องใช้ ML แทนการคาดการณ์แบบเดิม?
การคาดการณ์แบบ Manual มักอาศัยประสบการณ์ส่วนบุคคล เช่น ยอดปีที่แล้ว, ความรู้สึกของผู้จัดการ, ฤดูกาล แต่ข้อจำกัดคือ:
ไม่สามารถประมวลตัวแปรจำนวนมาก
ไม่สามารถจับ Pattern ซับซ้อน
อัปเดตช้า และความแม่นยำไม่คงที่
ML แก้ปัญหานี้ได้หมด เพราะสามารถเรียนรู้จากข้อมูลมหาศาลและอัปเดตตัวเองอัตโนมัติ
ML ใช้ข้อมูลอะไรบ้าง?
ตัวอย่าง Data ที่ส่งผลต่อปริมาณงาน:
ยอดขายรายวัน
ประเภทสินค้า
โปรโมชั่น
ฤดูกาล
วันเงินเดือนออก
สภาพอากาศ
เทรนด์โซเชียล
Lead time ของ Supplier
ยิ่งข้อมูลหลากหลาย ความแม่นยำก็สูงขึ้น
วิธีฝึกโมเดล ML แบบเข้าใจง่าย
รวบรวมข้อมูลย้อนหลัง 624 เดือน
ทำ Data Cleaning
แก้ Missing Data
ทำ normalization
เลือกโมเดลที่เหมาะกับข้อมูล
เช่น Random Forest, XGBoost, LSTM (สำหรับข้อมูล Time Series)
แบ่งข้อมูล Train/Test
ปรับค่า Hyperparameter ให้แม่นที่สุด
ทดสอบ Accuracy เช่น MAPE, RMSE
Deploy เข้าระบบจริง เพื่อทำนายรายวัน
การนำไปใช้จริงในโลจิสติกส์
คาดการณ์งานคลังสินค้า
รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องใช้พนักงานกี่คน ลด Overstaff/Understaff
คาดการณ์โหลดงานขนส่ง
ช่วยจัดเส้นทางล่วงหน้า จองรถล่วงหน้าได้
คาดการณ์ความต้องการสต็อก
ป้องกัน Out of Stock และลด Dead Stock
คาดการณ์ Traffic ช่วงพีค
ช่วยวางแผน SLA ให้ไม่พัง
ข้อจำกัดของ ML
ต้องใช้ข้อมูลคุณภาพดี (Data Quality)
ไม่เหมาะกับเหตุการณ์ Black Swan เช่น ปิดประเทศหรือเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ต้องปรับโมเดลเป็นระยะ ไม่ใช่ฝึกครั้งเดียวจบ
สรุป
Machine Learning คือหัวใจใหม่ของการวางแผนโลจิสติกส์ เพราะช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจบนข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึก หากใช้ดีจะลดต้นทุนได้มหาศาล เพิ่ม SLA และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ซัพพลายเชนอย่างมีนัยสำคัญ
เหมาคัน


BANKKUNG
