Crowdshipping Platform เมื่อคนทั่วไปกลายเป็นผู้ช่วยส่งของแทนบริษัทขนส่ง
ปัญหาที่ซ่อนอยู่ในระบบขนส่งปัจจุบัน
การขนส่งพัสดุและสินค้าในยุคอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้บริษัทขนส่งต้องเจอกับปัญหามากมาย เช่น
ปริมาณพัสดุเพิ่มสูงในช่วงเทศกาล
ความล่าช้าใน ไมล์สุดท้าย (Last Mile Delivery)
ต้นทุนเชื้อเพลิงและแรงงานที่พุ่งสูงขึ้น
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการวิ่งรถจำนวนมาก
เมื่อรวมปัญหาเหล่านี้เข้าด้วยกัน ทำให้หลายบริษัทเริ่มมองหาโมเดลใหม่ในการกระจายพัสดุ และนี่เองที่ Crowdshipping หรือ แพลตฟอร์มขนส่งโดยคนทั่วไป ได้ถือกำเนิดขึ้น
Crowdshipping คืออะไร?
Crowdshipping คือการใช้เครือข่าย คนทั่วไป ที่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทขนส่งโดยตรง เข้ามาช่วย ส่งพัสดุหรือสินค้าแทนบริษัท ผ่านแพลตฟอร์มกลาง (Mobile App / Website)
หลักการก็เหมือนกับ Grab หรือ Uber แต่แทนที่จะรับคนโดยสาร คนขับหรือผู้ใช้งานจะรับ พัสดุ มาส่งแทน
ยกตัวอย่างง่ายๆ:
คุณกำลังขับรถกลับบ้านจากที่ทำงาน
มีคนในเส้นทางเดียวกันต้องการส่งของไปจุดที่คุณผ่านพอดี
คุณรับงานส่งของนั้น และได้รับค่าตอบแทนเล็กน้อย
ผลลัพธ์คือ ผู้ส่งได้บริการที่รวดเร็วขึ้น ส่วนผู้ส่งของ (คนทั่วไป) ก็ได้รายได้เสริมระหว่างทาง
รูปแบบการทำงานของ Crowdshipping Platform
ผู้ส่งของ (Sender): ลงทะเบียนพัสดุที่ต้องการส่ง พร้อมระบุจุดรับจุดส่ง และเวลาที่ต้องการ
ผู้ขนส่ง (Shipper/Traveler): เลือกงานส่งของที่ตรงกับเส้นทางของตนเอง
แพลตฟอร์มกลาง: ทำหน้าที่เชื่อมโยง, ตรวจสอบตัวตน, รับประกันความปลอดภัย และเก็บค่าธรรมเนียมเล็กน้อย
นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังอาจเสริมระบบ เช่น
GPS Tracking เพื่อติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์
ระบบคะแนน/รีวิว เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
ประกันภัยในกรณีเกิดความเสียหาย
ตัวอย่าง Crowdshipping
Nimber (นอร์เวย์): ใช้คนที่เดินทางอยู่แล้วมาช่วยส่งของระหว่างเมือง
FriendShip (สหรัฐฯ): แอปที่ให้คนทั่วไปส่งของเล็กๆ ระหว่างกันในเมือง
Crowdshipping ในเอเชีย: เริ่มมีโมเดล ผู้โดยสารสายการบิน รับฝากส่งของเล็กๆ ข้ามประเทศ
ข้อดีของ Crowdshipping
ลดต้นทุน ไม่ต้องใช้รถขนส่งเพิ่มเติม เพราะใช้เส้นทางที่มีอยู่แล้ว
รวดเร็ว บางครั้งผู้ส่งได้ของเร็วกว่า เพราะมีคนผ่านเส้นทางนั้นอยู่แล้ว
เพิ่มรายได้เสริม คนทั่วไปสามารถหารายได้ระหว่างทาง โดยไม่ต้องเป็นพนักงานเต็มเวลา
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการวิ่งรถซ้ำซ้อน ลดการปล่อยก๊าซ CO
️
ความท้าทายที่ต้องเจอ
แม้โมเดล Crowdshipping จะน่าสนใจ แต่ก็มีความท้าทายหลายด้าน เช่น
ความน่าเชื่อถือ: ใครจะรับประกันว่าผู้ขนส่งจะไม่ทำพัสดุหาย?
ความปลอดภัย: จะมั่นใจได้อย่างไรว่าของที่ส่งไม่ผิดกฎหมาย?
กฎหมายและการกำกับดูแล: หลายประเทศยังไม่มีกรอบกฎหมายรองรับ
การสร้างความไว้วางใจ: ต้องมีระบบรีวิว/การยืนยันตัวตนที่โปร่งใส
อนาคตของ Crowdshipping
ในอนาคต โมเดลนี้อาจกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบโลจิสติกส์เมือง โดยเฉพาะใน ไมล์สุดท้าย (Last Mile) ซึ่งเป็นจุดที่มีต้นทุนสูงที่สุด
ลองจินตนาการว่า
คุณสั่งของออนไลน์ตอนบ่าย
มีคนในละแวกบ้านคุณกำลังกลับบ้านจากที่ทำงาน
เขารับพัสดุของคุณไปส่งถึงหน้าบ้านภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง
สิ่งนี้จะทำให้ โลจิสติกส์เร็วขึ้น ถูกลง และยั่งยืนมากขึ้น
บทสรุป
Crowdshipping Platform คือการ เปลี่ยนทุกคนให้เป็นผู้ช่วยส่งของ โมเดลนี้อาจไม่แทนที่บริษัทขนส่งทั้งหมด แต่จะเข้ามาเป็นฟันเฟืองสำคัญในระบบ โดยเฉพาะในไมล์สุดท้ายและการขนส่งรายย่อย หากจัดการเรื่องความน่าเชื่อถือและกฎหมายได้สำเร็จ Crowdshipping อาจเป็น Game Changer ของโลจิสติกส์ในเมืองยุคใหม่