แชร์

สงครามราคา: กลยุทธ์ดุเดือดที่อาจทำลายแบรนด์ ถ้าไม่รู้ทางออก

ChatGPT_Image_27_มิ_ย_2568_09_35_26.png BANKKUNG
อัพเดทล่าสุด: 17 มิ.ย. 2025
404 ผู้เข้าชม

สงครามราคา คืออะไร? เจาะลึกกลยุทธ์ ปัญหา และวิธีเอาตัวรอดในยุคแข่งดุ


สงครามราคา คืออะไร?

สงครามราคา (Price War) คือสถานการณ์ที่ธุรกิจหลายเจ้าพยายามลดราคาสินค้าหรือบริการให้ต่ำที่สุด เพื่อดึงดูดลูกค้าและเอาชนะคู่แข่ง แม้จะดูเหมือนเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มยอดขายในระยะสั้น แต่หากใช้ผิดวิธีหรือไม่วางแผนให้ดี อาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อกำไร ชื่อเสียง และความมั่นคงระยะยาวของแบรนด์


ตัวอย่างสงครามราคาที่เห็นได้ชัด

ร้านสะดวกซื้อ 7-11 vs Lotuss Go Fresh
แอปส่งอาหารลดค่าจัดส่งแข่งกันจนเจ๊ง
ผู้ให้บริการขนส่งดัมป์ราคาสู้กันเหลือเที่ยวละไม่กี่สิบบาท

สงครามราคาทำไมถึงเกิดขึ้น?

ตลาดมีคู่แข่งจำนวนมาก
สินค้าหรือบริการไม่มีความแตกต่าง (Commoditization)
ผู้บริโภคมีพฤติกรรมเน้น ราคาถูก
เจ้าใหม่ต้องการแย่งส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว
ไม่มีจุดขายที่แตกต่าง ทำได้แค่ลดราคา

 




สงครามราคาดีหรือไม่?

ข้อดี
ช่วยกระตุ้นยอดขายระยะสั้น
ดึงลูกค้าใหม่เข้ามาได้ไว
กดดันคู่แข่งให้ต้องปรับตัว

ข้อเสีย
ไม่ยั่งยืน
ทำลายมูลค่าแบรนด์
สร้างตลาดที่ผู้บริโภค ติดของถูก

จะอยู่รอดในสงครามราคาได้อย่างไร?

. สร้างความแตกต่าง (Differentiation)
เช่น บริการหลังการขาย บรรจุภัณฑ์ การจัดส่งที่เร็วกว่า

2. ให้คุณค่าเกินราคา
อย่าขายถูก แต่ ขายคุ้ม เช่น โปรแถม โปรสมาชิก

3. เน้นสร้างแบรนด์
ให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ ไม่ใช่แค่จำราคาถูก

4. ใช้ Content Marketing/SEO
สร้างบทความ รีวิว วิดีโอ ให้ลูกค้าเชื่อมั่นโดยไม่ต้องลดราคา

5. จับกลุ่มลูกค้าที่ไม่ใช่สายราคาถูก
เช่น ตลาดพรีเมียม หรือลูกค้าองค์กรที่เน้นคุณภาพมากกว่า


สรุป: สงครามราคา อาจชนะในระยะสั้น แต่แพ้ในระยะยาว
การลดราคาไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากไม่มีแผนระยะยาว การเข้าสู่สงครามราคาสามารถทำลายความมั่นคงของธุรกิจได้ ดังนั้น ควรสร้างความแตกต่าง เพิ่มคุณค่า และวางกลยุทธ์ให้เหนือกว่าคำว่า ถูกกว่า



บทความที่เกี่ยวข้อง
Omnichannel Experience: สร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อ เชื่อมทุกช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกและช่องทางในการเข้าถึงสินค้าและบริการมากมายมหาศาล พวกเขาไม่ได้อยู่แค่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ได้อยู่แค่ในร้านค้า และก็ไม่ได้อยู่แค่ในแอปมือถืออีกต่อไป แต่พวกเขาอยู่ "ทุกที่" ลองนึกภาพตาม: ลูกค้าเห็นโฆษณาสินค้าของคุณใน Instagram (ออนไลน์) คลิกไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ (ออนไลน์) เพิ่มสินค้าลงตะกร้า แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ วันต่อมา เขาเดินผ่านหน้าร้านของคุณ (ออฟไลน์) และนึกขึ้นได้ จึงตัดสินใจเข้าไปดูสินค้าจริง พนักงานที่ร้านสามารถดึงข้อมูลตะกร้าสินค้าที่เขาค้างไว้ในเว็บขึ้นมาได้ทันที และเสนอโปรโมชั่นที่ตรงใจ จนลูกค้าตัดสินใจซื้อ... นี่คือพลังของ Omnichannel Experience
ร่วมมือ.jpg Contact Center
14 พ.ย. 2025
Customer Experience (CX) 2.0: ทำไมการบริการ "หลังการขาย" ถึงสำคัญกว่า "ก่อนการขาย" ในยุคนี้
ในโลกธุรกิจแบบดั้งเดิม (CX 1.0) การเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมักเกิดขึ้นเมื่อ "ปิดการขาย" ได้สำเร็จ ฝ่ายการตลาดทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อหาลูกค้าใหม่ (Pre-Sales) ฝ่ายขายทุ่มเททุกกลยุทธ์เพื่อเปลี่ยนคนแปลกหน้าให้เป็นผู้ซื้อ และเมื่อธุรกรรมสิ้นสุดลง ภารกิจก็ดูเหมือนจะเสร็จสมบูรณ์
ร่วมมือ.jpg Contact Center
12 พ.ย. 2025
Sales Enablement: อาวุธลับที่ฝ่ายการตลาดสร้างให้ฝ่ายขาย เพื่อปิดการขายได้ง่ายขึ้น
ในหลายองค์กร เรามักเห็นภาพความขัดแย้งเล็กๆ (หรือบางทีก็ไม่เล็ก) ระหว่างทีมการตลาดและทีมขาย ฝ่ายขายบ่นว่า: "การตลาดหา Lead มาไม่ดีเลย ไม่มีคุณภาพ" หรือ "คอนเทนต์ที่ทำมาก็ใช้ขายงานจริงไม่ได้" ฝ่ายการตลาดบ่นว่า: "อุตส่าห์ทำคอนเทนต์ดีๆ ไปให้ แต่ฝ่ายขายไม่เคยเปิดใช้" หรือ "Lead ที่ให้ไปก็ไม่ยอมตาม"
ร่วมมือ.jpg Contact Center
10 พ.ย. 2025
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ