แชร์

ระบบ Booking พังบ่อย แก้ยังไงให้เสถียรขึ้นในระยะยาว

ร่วมมือ.jpg Contact Center
อัพเดทล่าสุด: 28 พ.ค. 2025
419 ผู้เข้าชม

ระบบ Booking พังบ่อย แก้ยังไงให้เสถียรขึ้นในระยะยาว

ระบบ Booking หรือระบบจองออนไลน์ กลายเป็นหัวใจหลักของหลายธุรกิจในยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการจองรถ จองคลังสินค้า หรือจองบริการต่าง ๆ แต่เมื่อระบบ "พังบ่อย" หรือล่มในช่วงที่มีผู้ใช้งานเยอะ ย่อมส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า และความน่าเชื่อถือของแบรนด์อย่างรุนแรง แล้วเราจะแก้ปัญหาระบบ Booking ที่ไม่เสถียร ให้กลับมา นิ่ง และรองรับการเติบโตได้ในระยะยาวได้อย่างไร?

สาเหตุที่ทำให้ระบบ Booking พังบ่อย

1.โครงสร้างฐานข้อมูลไม่เหมาะสม

  • ใช้ Query ซับซ้อนหรือไม่มี Index ทำให้ช้าตอนมีผู้ใช้งานจำนวนมาก
  • ไม่มีการ Normalize หรือจัดการความสัมพันธ์ระหว่างตารางอย่างถูกต้อง

2.Server หรือ Cloud Resource ไม่เพียงพอ

  • ใช้ Hosting ที่มีสเปกต่ำ
  • ไม่มี Auto Scaling หรือ Load Balancing

3.ไม่มีระบบตรวจจับข้อผิดพลาด (Error Logging) ที่ดี

  • ระบบล่มแล้วไม่รู้ว่าเกิดจากจุดไหน
  • ต้องรอผู้ใช้แจ้งก่อนจึงรู้ปัญหา

4.ระบบไม่ผ่านการทดสอบที่รัดกุม

  • ไม่มีการทำ Load Testing
  • ไม่เคยทดสอบการทำงานแบบ Real Scenario

5.ไม่มีระบบสำรองหรือ Failover

  • เมื่อระบบหลักล่ม ก็ไม่มีระบบสำรองมารองรับทันที

 

แนวทางการแก้ปัญหาให้ระบบ Booking เสถียรในระยะยาว

1.ปรับปรุงโครงสร้างฐานข้อมูล

  • ใช้ Index ให้เหมาะสมกับ Query ที่ใช้งานบ่อย
  • แยก Table ตามหลัก Normalization และใช้ Foreign Key เชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ
  • หลีกเลี่ยงการ Query แบบ JOIN หลายชั้น หากจำเป็นให้ใช้ View หรือ Materialized View

2.เลือกใช้ Server หรือ Cloud ที่มีความยืดหยุ่น

  • ย้ายระบบไปยัง Cloud Provider ที่รองรับ Auto Scaling เช่น AWS, GCP, Azure
  • ใช้ Load Balancer เพื่อกระจายภาระให้หลายเครื่อง
  • ตั้งค่าระบบ Monitoring และ Alert ผ่านเครื่องมืออย่าง Prometheus + Grafana หรือ New Relic

3.พัฒนาให้รองรับ Error Handling อย่างรัดกุม

  • สร้างระบบ Logging ที่ดี เช่นใช้ ELK Stack (Elasticsearch + Logstash + Kibana)
  • แสดงข้อความ Error ที่เข้าใจง่ายให้กับผู้ใช้งาน พร้อมบันทึก Error Internally
  • ตรวจสอบ Error Log ทุกวันและวิเคราะห์แนวโน้ม

4.ทำ Automated Testing และ Load Testing

  • ใช้ Unit Test, Integration Test และ End-to-End Test ผ่านเครื่องมืออย่าง Jest, Cypress หรือ Postman
  • ทำ Load Testing ด้วย JMeter หรือ k6 เพื่อดูจุดที่ระบบจะเริ่มช้า
  • วาง Performance Baseline และทำการ Optimize อย่างต่อเนื่อง

5.สร้างระบบสำรองและวางแผน DR (Disaster Recovery)

  • ทำระบบ Failover สำหรับ Database และ Backend Server
  • Backup ข้อมูลทุกวัน พร้อมระบบ Restore ที่ทดสอบแล้ว
  • เตรียม Playbook หรือ SOP เมื่อระบบล่ม เพื่อแก้ไขได้รวดเร็ว

 


บทความที่เกี่ยวข้อง
วิธีเลือกชั้นวางสินค้า (Racking) ให้เหมาะกับสินค้า
การเลือกชั้นวางสินค้าในคลัง (Racking System) เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมีผลต่อความปลอดภัย พื้นที่จัดเก็บ และความเร็วในการทำงานของคลังสินค้าโดยตรง
S__2711596.jpg BS&DC SAI5
12 ธ.ค. 2025
จัดการสินค้าตีกลับ (Reverse Logistics) อย่างไรให้ขาดทุนน้อยที่สุด
จัดการสินค้าตีกลับ (Reverse Logistics) อย่างไรให้ขาดทุนน้อยที่สุด? (คู่มือ SME) Meta Description: สินค้าตีกลับไม่ใช่แค่เรื่องขาดทุน! เจาะลึกกลยุทธ์ Reverse Logistics วิธีบริหารจัดการของคืน เปลี่ยนของเสียให้เป็นโอกาส ลดต้นทุนแฝง และรักษาฐานลูกค้าให้อยู่หมัด
ไทก้า นักศึกษาฝึกงาน
12 ธ.ค. 2025
ความสำคัญของประกันภัยสินค้า: จ่ายเพิ่มนิดหน่อย คุ้มค่าแค่ไหน?
ความสำคัญของประกันภัยสินค้า: จ่ายเพิ่มนิดหน่อย คุ้มค่าแค่ไหน? (เกราะป้องกันธุรกิจที่คุณต้องมี) Meta Description: ส่งของแต่ละที ต้องลุ้นตัวโก่ง? เจาะลึกความสำคัญของประกันภัยสินค้า (Cargo Insurance) ทำไมการจ่ายเบี้ยเพิ่มเพียงเล็กน้อย ถึงช่วยเซฟกำไรหลักแสนให้ธุรกิจคุณได้เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ไทก้า นักศึกษาฝึกงาน
11 ธ.ค. 2025
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ