ระบบ E-POD (Electronic Proof of Delivery) คืออะไร?
อัพเดทล่าสุด: 29 ม.ค. 2025
2086 ผู้เข้าชม
คุณสมบัติหลักของระบบ E-POD
1.บันทึกข้อมูลการส่งมอบแบบเรียลไทม์
- ระบบช่วยให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถตรวจสอบสถานะของสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ทันที
2.ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (E-Signature)
- ผู้รับสามารถลงลายเซ็นบนอุปกรณ์พกพาหรือแท็บเล็ตของผู้ส่งของได้ทันที
3.ถ่ายภาพหลักฐานการส่งมอบ
- สามารถแนบรูปภาพสินค้า ณ จุดส่งมอบเพื่อเป็นหลักฐานเพิ่มเติม
4.GPS Tracking
- ตรวจสอบตำแหน่งที่แน่นอนของพนักงานส่งของขณะส่งสินค้า
5.QR Code / Barcode Scanning
- ใช้สแกนรหัสสินค้าเพื่อลดข้อผิดพลาดในการส่งมอบ
6.การแจ้งเตือนและรายงานอัตโนมัติ
- ส่งอีเมลหรือ SMS แจ้งเตือนการส่งมอบไปยังลูกค้า
7.บันทึกปัญหาการส่งมอบ
- หากเกิดปัญหา เช่น ไม่มีผู้รับสินค้า สามารถบันทึกเหตุผลลงในระบบเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ประโยชน์ของระบบ E-POD
- ลดการใช้เอกสารกระดาษ (Paperless)
- ป้องกันข้อพิพาทและความผิดพลาดในการส่งมอบ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขนส่งและลดต้นทุน
- สร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ
- รองรับการเชื่อมต่อกับระบบ ERP หรือ WMS
ใครบ้างที่ควรใช้ระบบ E-POD?
- ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์
- ผู้ให้บริการเดลิเวอรี่ (Food Delivery, Courier)
- ธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ
- ผู้ผลิตและซัพพลายเชน
ที่มา: Chat Gpt
Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
ในยุคที่ อีคอมเมิร์ซและโลจิสติกส์เติบโตอย่างรวดเร็ว การจัดการคลังสินค้าแบบดั้งเดิมอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการอีกต่อไป สิ่งที่เข้ามามีบทบาทสำคัญคือ Smart Warehouse หรือโกดังอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และทำให้การขนส่งมีความแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น
11 ก.ย. 2025
ในยุค อีคอมเมิร์ซและการขนส่งดิจิทัล การติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้ระบบนี้ก้าวกระโดด คือการประยุกต์ใช้ AI (Artificial Intelligence) และ IoT (Internet of Things) ที่ช่วยให้ข้อมูลการจัดส่งมีความแม่นยำ โปร่งใส และสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น
11 ก.ย. 2025
SME จำนวนมากในไทยเริ่มตั้งคำถามว่า “ควรลงทุนกับระบบคลังสินค้าอัตโนมัติไหม?” เพราะเทคโนโลยีอย่างสายพานลำเลียง หุ่นยนต์จัดเก็บสินค้า หรือระบบ WMS (Warehouse Management System) ดูล้ำสมัย แต่ก็ใช้เงินไม่น้อย
11 ก.ย. 2025