ในขณะที่ทุกธุรกิจโลจิสติกส์ ขนส่ง พยายามดูแลการขนส่งที่ดีใน การขนส่งสินค้า ทางไกล แต่บางอย่างอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ และอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา นำสินค้าไปสู่ความเสียหาย อุปกรณ์ป้องกันความเสียหายระหว่างขนส่งจึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่น สายรัด Composite Strap เพื่อยึดสินค้าให้มั่นคง และ แผ่น Slip sheet หรือแผ่นรองสินค้า เพื่อรองสินค้าแทนไม้พาเลท ประหยัดพื้นที่ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บทความต่อไปนี้ คือ ประเภทของความเสียหายของสินค้าที่พบบ่อยที่สุด วิธีลดความเสี่ยง และสิ่งที่ควรทำหลังจากพบว่าสินค้าของคุณได้รับความเสียหาย
ความเสียหายทางกายภาพ
ความเสียหายทางกายภาพ คือ การจัดเก็บที่ไม่ดี การจัดเก็บที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม และไม่เพียงพอ (ไม่ใช้ สายรัด Composite Strap ที่มีมาตรฐาน แผ่น Slip sheet ) การกระจายน้ำหนักที่ไม่ถูกต้อง ภายในคอนเทนเนอร์ ซึ่งส่งผลให้สินค้าเกิดการตกหล่น การกลิ้ง การแตกหัก การกระแทกระหว่างการขนส่ง
ความเสียหายจากความเปียกชื้น
ความเสียหายจากความเปียกชื้น คือ สินค้าที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เช่น ความชื้น การควบแน่นระหว่าง การขนส่งสินค้า หรือน้ำทะเลที่ไหลเข้าสู่ภาชนะเนื่องอาจจากมีรูเล็ก ๆ อาจเกิดขึ้นได้เมื่อใช้ภาชนะที่ไม่เหมาะสมในการขนส่งผลิตภัณฑ์ที่มีความละเอียดอ่อน เช่น การใช้ภาชนะปกติแทนภาชนะที่มีการระบายอากาศ
ความเสียหายจากการปนเปื้อน
ความเสียหายต่อสินค้าเมื่อมีการปนเปื้อน อาจเป็นสารพิษ หรือมลพิษ ทำให้สินค้าไม่สามารถใช้งานได้สำหรับการบริโภคของมนุษย์ หรือการใช้งานทางอุตสาหกรรมหรือการปฏิบัติงานอื่น ๆ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การทำความสะอาดที่ไม่เพียงพอหลังจากการขนส่งสินค้าครั้งก่อน การจัดเก็บที่ไม่เหมาะสมก่อนการขนส่ง หรือการสัมผัสกับสารปนเปื้อนโดยตรง เป็นต้น
ความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับตู้ทำความเย็น
ความเสียหายประเภทนี้เกิดขึ้นได้ค่อนข้างบ่อย มักเกิดจากอุปกรณ์ทำความเย็นที่ไม่ได้มาตรฐาน การตั้งค่าอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม การหมุนเวียนของอากาศไม่ดี การจัดการที่ผิดพลาด ไฟฟ้าขัดข้อง การผุ การละลาย ทำให้สินค้าสุกมากเกินไป เกิดรอยฟกช้ำ การเน่าเสีย และผลิตภัณฑ์มีการเปลี่ยนสีระหว่างการขนส่ง
ความเสียหายจากสัตว์และแมลง
ความเสียหายจากแมลงหรือสัตว์สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อมีหนูอยู่ในสินค้า ความเสียหายประเภทนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสินค้าเกษตรที่บรรทุกสินค้า นำไปสู่การปนเปื้อน ทำให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ไม่สามารถใช้งานได้ และอาจทำให้การขนส่งล่าช้าอีกด้วย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบสินค้าเพื่อหาสาเหตุของความเสียหายนั่นเอง
1.เลือกการขนส่งให้เหมาะกับประเภทสินค้า เช่น สินค้าที่มีน้ำหนักมากต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อบรรทุกของหนักโดยเฉพาะ
2.ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการใช้ Composite Strap หรือแผ่น Slip sheet และวัสดุกันกระแทกที่เหมาะสมภายในคอนเทนเนอร์เพื่อจำกัดขยับของสินค้า
3.ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าไม่ได้บรรจุร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถเข้ากันได้ในการขนส่ง เช่น เสื้อผ้ากับสารเคมี เป็นต้น
4.เมื่อการขนส่งสินค้าเสี่ยงต่อการเกิดความเปียกชื้น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น สภาพภูมิอากาศที่มีความชื้นสูง อาจส่งผลกระทบต่อสินค้า และการควบแน่นอาจทำให้น้ำเสียหายได้ ก่อนจัดส่งตรวจสอบให้แน่ใจว่าภาชนะปิดสนิท ใช้สารดูดความชื้น
5.สินค้าแช่แข็งควรคำนึงถึงการเคลื่อนตัวของของเหลวกลิ่นการเปลี่ยนสี และรสชาติ มีความจำเป็นต้องตรวจสอบความแม่นยำของอุณหภูมิในตู้ทำความเย็น
6.อัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับตำแหน่งและสภาพของสินค้าในระหว่างการขนส่ง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายใด
BY: NUN
ที่มา: Jmpthailand.com