บทบาทของระบบขนส่งสาธารณะ + ขนส่งโลจิสติกส์: แนวคิด “Last-Mile” ที่ยั่งยืนในเมืองใหญ่

1) Last-Mile Mobility vs Last-Mile Delivery ต่างแต่เกี่ยวข้องกันอย่างไร?
Last-Mile Mobility (การเดินทางของคน)
คือการเดินทางช่วงสุดท้ายจากจุดลงของขนส่งสาธารณะไปยังบ้าน ที่ทำงาน หรือตามจุดหมายปลายทาง
ตัวอย่าง: รถเมล์BTSเดินเท้าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
Last-Mile Delivery (การจัดส่งสินค้า)
คือการนำพัสดุจากคลังหรือจุดกระจายสินค้าไปถึงมือลูกค้ารายสุดท้าย
ตัวอย่าง: เอาสินค้าจากคลังย่อย ส่งด้วยมอเตอร์ไซค์/ดริฟเวอร์/EV
แม้จุดประสงค์ต่างกัน แต่สองระบบนี้ต้องทำงานประสานกันเพื่อให้เมืองมี การไหลเวียน ที่ลื่นไหล ไม่ติดขัด
2) ทำไม Last-Mile ที่ยั่งยืน จึงสำคัญต่อเมืองใหญ่?
- ลดรถส่วนบุคคล ลดรถขนส่งซ้ำซ้อน
การมีสถานีขนส่งสาธารณะที่เชื่อมกับศูนย์กระจายสินค้าย่อย ทำให้ลดจำนวนรถที่ต้องวิ่งเข้าไปในซอยเล็กๆ ซ้ำซ้อน - ลดมลพิษทางอากาศ (PM2.5 + คาร์บอน)
การใช้ EV, รถร่วมวิ่ง, การส่งรวมเป็นรอบ และการเดินปั่น มีผลลดมลพิษได้จริง - เพิ่มความเร็วของการขนส่ง
เมื่อระบบเมืองออกแบบให้เดินทางและส่งง่ายขึ้น ธุรกิจและประชาชนได้ประโยชน์ทั้งสองด้าน - เพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน
ถนนปลอดภัยขึ้น เสียงน้อยลง ทางเท้าดีขึ้น ทำให้เมือง น่าอยู่กว่าเดิม
3) การบรรจบกันของขนส่งสาธารณะ + โลจิสติกส์ในปี 2025
- Micro-Hub ใกล้สถานีรถไฟฟ้า
คลังย่อยและจุดกระจายสินค้าตั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้า ช่วยให้คนส่งสินค้าเดินทางสะดวก และลดเวลาขนถ่ายสินค้า - EV Last-Mile Riders + Cargo Bikes
รถไฟฟ้าล้อสอง / สามล้อ และจักรยานบรรทุก (Cargo Bike) ช่วยให้การส่งสินค้ารวดเร็วในเมืองหนาแน่น ลดการปล่อยคาร์บอน - Smart Locker + จุดรับของใกล้สถานี
ช่วยลดปริมาณการส่งถึงบ้าน ช่วยผู้บริโภคหยิบรับได้ทันทีหลังลงจากรถไฟฟ้า ทำให้การส่งรวมมีประสิทธิภาพขึ้น - การใช้ Big Data ควบคุมระบบเมือง
เมืองสามารถวิเคราะห์จุดรถติด พื้นที่ล่าช้า และวางแผนจุดส่งจุดรับที่เหมาะสมที่สุด
4) โมเดล Last-Mile ที่ยั่งยืน ที่หลายประเทศเริ่มใช้
- เขตปลอดรถยนต์ (Car-free zone) + รถส่ง EV เท่านั้น
- ถนนซอยใช้เฉพาะมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและจักรยาน
- จุดจอด Smart Locker หลายจุดแทนการส่งถึงหน้าบ้าน
- ระบบขนส่งสาธารณะเชื่อมต่อศูนย์กระจายสินค้าแบบ Multi-modal
ประเทศไทยเริ่มเห็นแนวโน้มเหล่านี้ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และย่านเมืองใหม่หลายแห่ง
5) ผลดีต่อธุรกิจ: ยั่งยืน + ลดต้นทุน + ส่งไวขึ้น
- ขนส่งรวดเร็วขึ้นเพราะใช้ฮับใกล้เมือง
- ลดต้นทุนเชื้อเพลิง 1030% เมื่อใช้ EV + รวมรอบส่ง
- เพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าในเมือง
- ได้คะแนน ESG เพิ่มในมุมมองนักลงทุน
- เพิ่มภาพลักษณ์แบรนด์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ธุรกิจที่นำแนวคิดนี้ไปใช้มีโอกาสแข่งขันสูงกว่าเดิมมากในตลาดโลจิสติกส์เมืองใหญ่
6) ข้อเสนอแนะสำหรับไทยในการพัฒนา Last-Mile ที่ยั่งยืน
- สร้างพื้นที่จอดรับสินค้าใกล้สถานีขนส่ง
- ส่งเสริม EV สำหรับพนักงานส่งพัสดุ
- ปรับทางเท้าให้เหมาะกับเดินปั่น
- พัฒนา Smart Locker ตามศูนย์ชุมชนและสถานีขนส่ง
- ใช้ข้อมูลเชิงลึกจากระบบติดตามรถเพื่อจัดเส้นทางรวม
สรุป: Last-Mile ที่ยั่งยืน คือกุญแจสู่เมืองน่าอยู่ + เศรษฐกิจที่คล่องตัว
เมื่อระบบขนส่งสาธารณะทำงานร่วมกับโลจิสติกส์อย่างสมดุล เมืองจะเคลื่อนตัวเร็วขึ้น รถติดลดลง มลพิษลดลง ธุรกิจได้ประโยชน์ และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
แนวคิดนี้คืออนาคตของเมืองใหญ่ และเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับระบบขนส่งทั้งสำหรับ คน และ สินค้า ไปพร้อมกัน
BS Rut กองรถ


Contact Center
