ไขข้อข้องใจ: ทำไมค่าขนส่งแต่ละเจ้าถึงราคาต่างกัน?

"เจ้า A คิด 25 บาท เจ้า B คิด 40 บาท... ทำไมราคาต่างกันจัง ทั้งที่ก็ส่งของเหมือนกัน?"
เชื่อว่าเจ้าของธุรกิจทุกคนต้องเคยตั้งคำถามนี้ครับ ในยุคที่บริษัทขนส่งผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด สงครามราคาก็ดูจะดุเดือดเลือดพล่าน จนบางครั้งเราก็เผลอตัดสินใจเลือก "เจ้าที่ถูกที่สุด" โดยอัตโนมัติ
แต่ในโลกของโลจิสติกส์ "ราคา" มักสะท้อน "คุณภาพ" และ "ต้นทุนเบื้องหลัง" เสมอ การที่ขนส่งเจ้าหนึ่งทำราคาได้ถูกแสนถูก เขาอาจจะตัดงบบางอย่างออกไป... ซึ่งงบส่วนนั้นอาจเป็น "ความปลอดภัย" ของพัสดุคุณก็ได้!
วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ เจาะลึกโครงสร้างต้นทุนว่า อะไรคือตัวแปรที่ทำให้ค่าส่งแต่ละเจ้าไม่เท่ากัน และทำไม "ของถูกที่สุด" อาจไม่ใช่คำตอบที่ "คุ้มค่าที่สุด" เสมอไป
1.ความเร็วและ "วิธีการเดินทาง" (Transport Mode)
นี่คือปัจจัยแรกที่กำหนดราคา
- ขนส่งราคาประหยัด: มักใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ วิ่งรอบน้อย และรอให้ของเต็มคันรถถึงจะออกเดินทาง (Consolidation) ทำให้ของถึงช้ากว่า 2-3 วัน
- ขนส่งราคาสูง: อาจใช้เครื่องบิน (Air Freight) หรือมีการจัดรถวิ่งรอบพิเศษ (Line Haul) ที่ถี่กว่า ทำให้การันตี Next Day Delivery ได้
- ถามตัวเอง: ลูกค้าของคุณรอได้ไหม? ถ้ารอได้ ของถูกก็ตอบโจทย์ แต่ถ้าเป็นของสดหรือของด่วน ความเร็วคือต้นทุนที่ต้องจ่ายเพิ่ม
2.พื้นที่ให้บริการ (Network Density)
ทำไมส่งเข้าเมืองถูก แต่ส่งขึ้นดอยแพง?
- เจ้าใหญ่ราคาถูก: เพราะเขามีศูนย์กระจายสินค้า (Hub) ครอบคลุมทุกจุด ทำให้ต้นทุนต่อชิ้นต่ำ (Economies of Scale)
- เจ้าเล็กหรือเจ้าเฉพาะทาง: อาจต้องจ้างรถช่วงต่อ (Sub-contract) เพื่อไปส่งในพื้นที่ห่างไกล ทำให้ต้นทุนสูงกว่า แต่ในทางกลับกัน บางเจ้าที่ราคาแพงกว่า อาจเพราะเขามีความเชี่ยวชาญในพื้นที่ "ปราบเซียน" ที่เจ้าอื่นไม่กล้าเข้า
3.เทคโนโลยีและความแม่นยำ (Technology Investment)
นี่คือต้นทุนแฝงที่มองไม่เห็น แต่สำคัญที่สุด
- ราคาถูก: อาจใช้ระบบ Manual คนคีย์ข้อมูลเอง Tracking ไม่อัปเดต หรืออัปเดตช้า
- ราคาสมเหตุสมผล: ลงทุนกับระบบสายพานอัตโนมัติ, ระบบ AI วางแผนเส้นทาง, และ GPS Tracking Real-time การจ่ายแพงกว่านิดหน่อยเพื่อแลกกับความ "สบายใจ" และ "ตรวจสอบได้" มักคุ้มค่ากว่าเสมอเมื่อของเกิดปัญหา
4.มาตรฐานการดูแลพัสดุ (Handling Quality)
เคยเห็นคลิปโยนของไหมครับ? นั่นคือผลลัพธ์ของการลดต้นทุน
- ลดต้นทุนแรงงาน: จ้างพนักงานน้อย บีบให้ทำงานแข่งกับเวลา ผลคือต้อง "โยน" เพื่อให้ทันรอบ
- เน้นคุณภาพ: จ้างพนักงานเพียงพอ มีการอบรมการยกของ และมีอุปกรณ์ทุ่นแรงที่ได้มาตรฐาน หากสินค้าคุณแตกหักง่าย ส่วนต่างค่าส่ง 10-20 บาท ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับค่าของที่เสียหาย
5.การรับประกันและบริการหลังการขาย (Insurance & Support)
- เจ้า A (ถูก): ของหาย จ่ายคืนตามน้ำหนัก ไม่เกิน 500 บาท ติดต่อ Call Center รอสาย 30 นาที
- เจ้า B (แพงกว่า): มีวงเงินประกันสูง เคลมง่าย และมีทีม CS (Customer Service) ดูแลเฉพาะ ค่าส่งที่คุณจ่าย ส่วนหนึ่งคือ "ค่าประกันความเสี่ยง" ถ้าคุณส่งของมีค่า การเลือกเจ้าที่แพงกว่าแต่คุ้มครองครอบคลุม คือการซื้อความปลอดภัยให้ธุรกิจ
สรุป
"ของถูกและดี" อาจมีจริงในบางเรื่อง แต่ในวงการขนส่ง "คุณมักจะได้ในสิ่งที่คุณจ่ายไป" (You get what you pay for)
การเลือกบริษัทขนส่ง จึงไม่ควรดูแค่ "ราคาต่อกล่อง" ที่โชว์อยู่หน้าเว็บ แต่ต้องดูที่ "Value" หรือความคุ้มค่าโดยรวม หากสินค้าคุณต้องการความปลอดภัย ความเร็ว และภาพลักษณ์ที่เป็นมืออาชีพ การเลือกพาร์ทเนอร์ที่ราคาสมเหตุสมผลและไว้ใจได้ จะช่วยประหยัด "ต้นทุนความปวดหัว" ในระยะยาวได้มากกว่าแน่นอนครับ
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
หากคุณมองหาความคุ้มค่า ที่มาพร้อมกับคุณภาพการบริการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปรึกษาเราเพื่อรับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจคุณ
ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ โทรศัพท์: 02-114-8855 หรือ 086-3039620 อีเมล: bstransport_bkk@hotmail.com ที่อยู่สำนักงานใหญ่: สถานีขนส่งสินค้าพุทธมณฑลสาย 5 ชานชาลาที่ 11 ห้องที่ 16-17 133 หมู่ที่ 1 ถนนบรมราชชนนี ตำบลบางเตย อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 73210
Contact Center

BS Rut กองรถ

