ระบบขนส่งที่ทำงานได้ แม้โลกทั้งใบไฟดับ
ลองจินตนาการดู วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ใหญ่จนไฟฟ้าทั้งประเทศดับสนิท แสงไฟทุกดวงหายไปเหมือนโลกกลับไปยุคก่อนอุตสาหกรรม โรงงานหยุดทำงาน เซิร์ฟเวอร์ดับเงียบ บ้านและเมืองมืดมิด แต่พัสดุของคุณ ยังคงถูกจัดส่งต่อไปอย่างไม่มีสะดุด
ฟังดูเหมือนหนังไซไฟ แต่เบื้องหลังมันคือแนวคิดที่บริษัทขนส่งระดับโลกกำลังทดลอง ระบบโลจิสติกส์พลังงานอิสระ (Off-Grid Logistics) ที่ไม่พึ่งพาโครงข่ายไฟฟ้าหลักของประเทศแม้แต่วินาทีเดียว
1. พลังงานจากหลายแหล่ง ไม่พึ่งสายไฟ
หัวใจของระบบนี้คือ พลังงานแบบกระจาย (Distributed Energy)
โซลาร์เซลล์บนหลังคาคลังสินค้าและรถขนส่ง ที่เก็บไฟในแบตเตอรี่ความจุสูง
ไฮโดรเจนฟิวเซลล์ สำหรับรถบรรทุกระยะไกล ที่เติมเชื้อเพียงไม่กี่นาทีก็วิ่งต่อได้เป็นร้อยกิโลเมตร
ไมโครกริด (Microgrid) ภายในคลังสินค้า ที่สามารถแยกตัวออกจากระบบไฟหลักและผลิตเก็บไฟได้เอง
ผลลัพธ์คือ แม้ทั้งเมืองจะไฟดับ แต่คลังสินค้าและรถขนส่งยังมีพลังงานสำรองใช้งานต่อเนื่องเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์
2. ระบบสื่อสารที่ไม่ง้ออินเทอร์เน็ตหลัก
ถ้าไฟดับ อินเทอร์เน็ตหลักอาจล่ม แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา
ใช้ เครือข่ายสื่อสารผ่านดาวเทียม (Low-Earth Orbit Satellites) ส่งข้อมูลตำแหน่งพัสดุแบบเรียลไทม์
ระบบ Mesh Network ที่รถขนส่งทุกคันสามารถส่งต่อสัญญาณกันเองเหมือนโครงข่ายผึ้ง ทำให้ข้อมูลไม่หายแม้ไม่มีสัญญาณมือถือ
3. AI ที่ตัดสินใจได้เอง
เมื่อศูนย์ควบคุมหลักติดต่อไม่ได้ AI บนรถและในคลังจะ ตัดสินใจอัตโนมัติ ว่าเส้นทางไหนปลอดภัยที่สุด และจะจัดคิวการขนส่งอย่างไร เพื่อให้สินค้าถึงมือผู้รับไวที่สุด แม้ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยสั่งการ
4. ตัวอย่างการใช้งานจริง
ในญี่ปุ่น มีการพัฒนา คลังสินค้าที่พึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ 100% เพื่อใช้ในกรณีเกิดแผ่นดินไหวและไฟดับนาน
DHL ทดลองใช้รถบรรทุกฟิวเซลล์ไฮโดรเจนที่สามารถวิ่งได้ 500 กม. ต่อการเติมหนึ่งครั้ง โดยไม่ต้องใช้ไฟจากสถานีชาร์จทั่วไป
5. ทำไมมันสำคัญ
โลจิสติกส์คือเส้นเลือดของเศรษฐกิจ ถ้ามันหยุดไหลเพราะไฟดับ สินค้าอุปโภคบริโภค ยา อาหาร หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์จะส่งไม่ถึงผู้คนทันเวลา การมีระบบที่ ไม่กลัวไฟดับ เท่ากับเรามี ประกันชีวิต ให้กับทั้งเมืองและประเทศ
ในอนาคต อาจมีบริษัทขนส่งที่โฆษณาว่า
เราส่งของได้ แม้โลกทั้งใบจะมืดมิด
และนั่นอาจกลายเป็นจุดขายที่ลูกค้าทุกคนอยากเลือกใช้