“Zero Touch Delivery” ส่งของโดยไม่แตะต้องแม้แต่ครั้งเดียว
ในยุคที่เทคโนโลยีโลจิสติกส์พัฒนาเร็วเหมือนจรวด แนวคิด Zero Touch Delivery กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการขนส่งพัสดุที่ปลอดภัย สะดวก และลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน ไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์โรคระบาด หรือแม้แต่ในระบบส่งของความเร็วสูงที่ต้องการลดขั้นตอนมนุษย์แตะพัสดุให้น้อยที่สุด
Zero Touch Delivery คืออะไร?
แนวคิดนี้หมายถึงกระบวนการส่งมอบสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยแทบไม่มีการสัมผัสโดยตรงจากมนุษย์เลย ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติเป็นตัวกลาง ตั้งแต่การหยิบสินค้าในคลัง การแพ็ก การขนส่ง จนถึงการส่งถึงลูกค้า
จุดเด่นของระบบนี้คือ ความสะอาด ปลอดภัย และแม่นยำ เพราะลดโอกาสเกิดความผิดพลาดจากคน เช่น การหยิบผิด การส่งผิด หรือพัสดุเสียหายจากการขนย้าย
เทคโนโลยีเบื้องหลัง Zero Touch Delivery
Automated Picking System
ใช้หุ่นยนต์คัดเลือกและหยิบสินค้าจากชั้นวางโดยตรง ไม่ต้องมีพนักงานเดินหยิบของในคลัง
Automated Packing Machine
เครื่องแพ็กอัจฉริยะที่วัดขนาดสินค้าแล้วตัดบรรจุภัณฑ์ให้พอดีโดยอัตโนมัติ ปิดผนึกโดยไม่ต้องใช้มือ
Autonomous Delivery Vehicle / Drone
รถหรือโดรนขนส่งที่ไม่ต้องมีคนขับ สามารถนำพัสดุไปส่งถึงจุดหมายโดยมีระบบนำทาง GPS และ AI ประมวลเส้นทางที่เร็วที่สุด
Smart Locker
เมื่อลูกค้ารับของ จะใช้รหัสหรือสแกน QR Code เพื่อเปิดล็อกเกอร์อัตโนมัติ ทำให้การส่งมอบเกิดขึ้นโดยไม่ต้องพบหน้ากับผู้ส่ง
ข้อดีที่ทำให้แบรนด์ต้องหันมาใช้ Zero Touch Delivery
ลดความเสี่ยงโรคระบาดและการปนเปื้อน
เพิ่มความเร็วการทำงาน เพราะทุกขั้นตอนเป็นอัตโนมัติ
ลดข้อผิดพลาดจากคน เช่น การพิมพ์ที่อยู่ผิด การส่งผิดพัสดุ
สร้างภาพลักษณ์ทันสมัย ทำให้ลูกค้ามองว่าแบรนด์ใส่ใจเทคโนโลยีและความปลอดภัย
ตัวอย่างการใช้งาน
Amazon ใช้หุ่นยนต์ Kiva หยิบและจัดเรียงสินค้าก่อนส่ง
JD.com ในจีน ใช้โดรนส่งสินค้าตามหมู่บ้านห่างไกลโดยไม่ต้องมีคนขับรถ
GrabMart & Food Delivery ในบางประเทศ ทดลองส่งด้วยตู้ล็อกเกอร์อัตโนมัติ
ความท้าทายของ Zero Touch Delivery
แม้จะดูเหมือนอนาคตสดใส แต่ก็ยังมีอุปสรรค เช่น
ต้นทุนลงทุนเทคโนโลยีสูง
ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เช่น Smart Locker หรือถนนสำหรับรถอัตโนมัติ
ความเชื่อมั่นของผู้ใช้ที่ยังต้องการ "ความเป็นมนุษย์" ในการให้บริการ
สรุป
Zero Touch Delivery ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นการปรับโฉมระบบโลจิสติกส์ให้เข้าสู่ยุคใหม่ที่เน้นความปลอดภัย รวดเร็ว และใช้แรงงานคนให้น้อยที่สุด แบรนด์ที่ปรับตัวเร็วจะได้เปรียบทั้งในด้านต้นทุน ภาพลักษณ์ และความพึงพอใจของลูกค้า