การจัดการองค์ความรู้เพื่อความสำเร็จในองค์กร
ทำไมการจัดการองค์ความรู้จึงสำคัญต่อองค์กร?
1.ตัดสินใจได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น: เมื่อพนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องได้ทันท่วงที ย่อมนำไปสู่การตัดสินใจที่เฉียบคมและรวดเร็วยิ่งขึ้น
2.เพิ่มประสิทธิภาพและนวัตกรรม: ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน เพราะไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง (Reinvent the wheel) พนักงานสามารถต่อยอดจากความรู้เดิมเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หรือนวัตกรรมได้ง่ายขึ้น
3.รักษาทรัพย์สินทางปัญญาขององค์กร: ความรู้และประสบการณ์ของพนักงานคือทรัพย์สินที่ประเมินค่าไม่ได้ KM ช่วยจัดเก็บความรู้เหล่านี้ไว้ แม้ว่าพนักงานจะลาออกหรือเกษียณไป องค์กรก็ยังคงรักษาความรู้นั้นไว้ได้
4.พัฒนาบุคลากรและสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้: ส่งเสริมให้พนักงานรักการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ สร้างบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้องค์กรกลายเป็น "องค์กรแห่งการเรียนรู้" (Learning Organization)
5.สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน: องค์กรที่จัดการความรู้ได้ดี จะสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว และสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้เหนือกว่าคู่แข่ง
กระบวนการหลักในการจัดการองค์ความรู้ (KM Process)
ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนสำคัญที่หมุนเวียนเป็นวงจร (KM Cycle) ดังนี้
1.การสร้างและแสวงหาความรู้ (Knowledge Creation & Acquisition): คือการหาความรู้ใหม่ๆ เข้ามาในองค์กร อาจมาจากการวิจัยและพัฒนา, การเรียนรู้จากลูกค้า, การถอดบทเรียนจากโครงการ หรือการจ้างผู้เชี่ยวชาญ
2.การจัดเก็บและจัดระเบียบความรู้ (Knowledge Storage & Organization): เมื่อได้ความรู้มาแล้ว ต้องนำมาจัดเก็บอย่างเป็นระบบใน "คลังความรู้" (Knowledge Repository) เช่น ระบบอินทราเน็ต, ฐานข้อมูล, หรือวิกิ (Wiki) เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและเข้าถึง
3.การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing & Dissemination): เป็นหัวใจสำคัญของ KM คือการทำให้ความรู้กระจายไปทั่วทั้งองค์กร ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น ชุมชนนักปฏิบัติ (CoP - Community of Practice), ระบบพี่เลี้ยง (Mentoring), หรือการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้
4.การนำความรู้ไปใช้ (Knowledge Application & Utilization): คือการนำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้ในการทำงานจริง เพื่อแก้ปัญหา, พัฒนากระบวนการ, หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม