Advanced Air Mobility (AAM) – การขนส่งทางอากาศรูปแบบใหม่ในเมือง
Advanced Air Mobility (AAM) การขนส่งทางอากาศรูปแบบใหม่ในเมือง
ในอนาคตอันใกล้ การจราจรที่คับคั่งอาจไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะเรากำลังเข้าสู่ยุคของ Advanced Air Mobility (AAM) ระบบการขนส่งทางอากาศที่สามารถให้บริการภายในเมืองและระหว่างเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และยั่งยืน
AAM คืออะไร?
Advanced Air Mobility (AAM) คือระบบการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าในระยะใกล้ถึงปานกลาง โดยใช้ อากาศยานขนาดเล็กไร้นักบินหรือมีนักบิน เช่น:
-eVTOL (Electric Vertical Take-Off and Landing) เครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งไฟฟ้า
-Air Taxi แท็กซี่ทางอากาศ
-Cargo Drone โดรนขนส่งสินค้า
AAM มุ่งเน้นการใช้งานในพื้นที่เขตเมือง (Urban Air Mobility - UAM) และระหว่างเมืองขนาดเล็กถึงกลาง (Regional Air Mobility - RAM)
เทคโนโลยีเบื้องหลัง AAM
-พลังงานไฟฟ้า: ลดมลพิษทางเสียงและสิ่งแวดล้อม
-AI และการบินอัตโนมัติ: เพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุน
-ระบบควบคุมการจราจรทางอากาศในเมือง (UATM): เพื่อให้สามารถจัดการเที่ยวบินจำนวนมากได้พร้อมกันอย่างปลอดภัย
ตัวอย่างการใช้งานจริง
-แคลิฟอร์เนีย: บริษัท Joby Aviation พัฒนาแท็กซี่บิน eVTOL ที่ให้บริการในระยะ 30-50 กม. ได้ภายในไม่กี่นาที
-ดูไบ: เตรียมเปิดใช้บริการแท็กซี่บินเชิงพาณิชย์ภายในปี 2026
-เกาหลีใต้: ทดลองระบบ UAM เพื่อขนส่งผู้โดยสารจากสนามบินเข้าสู่ใจกลางกรุงโซล
ประโยชน์ของ AAM
-ลดระยะเวลาการเดินทางในเมืองจากชั่วโมงเหลือเพียงนาที
-ลดการปล่อยคาร์บอนจากการเดินทางภาคพื้น
-สร้างอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ผู้ผลิต eVTOL, โครงสร้างพื้นฐานสนามบินแนวตั้ง
-เทคโนโลยีอัตโนมัติและ AI ช่วยลดอุบัติเหตุจากความผิดพลาดของมนุษย์
ความท้าทายของ AAM
-โครงสร้างพื้นฐาน (Vertiports)
-การออกกฎหมายควบคุมการบินในเมือง
-ความยอมรับจากประชาชนเรื่องเสียงรบกวนและความปลอดภัย
-การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างยานพาหนะกับระบบจราจร
สรุป
Advanced Air Mobility (AAM) ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นความจริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงจะเปลี่ยนรูปแบบการเดินทาง แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของระบบเมืองอัจฉริยะที่เคลื่อนไหวในมิติเหนือพื้นดิน
เมืองแห่งอนาคต...อาจไม่ได้เริ่มที่ถนน แต่เริ่ม เหนือ ถนน
บทความและภาพประกอบจาก Chat gpt