ไทย vs ต่างประเทศ: ระบบขนส่งใครเจ๋งกว่ากัน?
1. ความครอบคลุม (Coverage)
ต่างประเทศ:
ญี่ปุ่นมีรถไฟความเร็วสูง (Shinkansen), รถใต้ดิน, รถบัส, รถราง เชื่อมโยงทุกภูมิภาค
เยอรมันมี Bahn และ Tram วิ่งถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ
ประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่งมีนโยบาย เดินออกจากบ้านไม่เกิน 500 เมตร ต้องเจอขนส่งสาธารณะ
ไทย:
ระบบรางหลักยังอยู่แค่ เมืองใหญ่ (กรุงเทพและปริมณฑล)
ต่างจังหวัดยังพึ่งรถตู้-รถเมล์เป็นหลัก และบางพื้นที่ไม่มีขนส่งสาธารณะเลย
การเดินทางข้ามจังหวัดยังเน้นรถยนต์ส่วนตัว หรือรถโดยสารระยะไกล
2. ความตรงต่อเวลา (Punctuality)
ต่างประเทศ:
รถไฟญี่ปุ่นเลต 1 นาทีคือเรื่องใหญ่!
ในยุโรป รถเมล์และรถไฟมีระบบแจ้งเวลาจริง (real-time tracking) แบบแม่นยำ
สายการบินบางประเทศ บินตรงเวลาเกิน 95%
ไทย:
รถเมล์หลายสายยังใช้ระบบ มาก็ตอนไหนก็ได้
รถไฟไทยมีการปรับปรุงแล้วบางส่วน แต่ยังเจอเหตุขัดข้องบ่อย
ความล่าช้าเป็นเรื่องที่คนไทย ยอมรับได้ ซึ่งเป็นปัญหาทางวัฒนธรรมที่ต้องแก้
3. ราคาคุ้มค่า (Affordability & Fairness)
ต่างประเทศ:
หลายเมืองมี บัตรวันเดียว (day pass) นั่งได้ไม่จำกัด
นักเรียน ผู้สูงอายุ และผู้พิการได้ส่วนลดหรือฟรี
ระบบเก็บค่าโดยสารแบบเป็นธรรม: ยิ่งนั่งไกล ยิ่งจ่ายแพง แต่โปร่งใส
ไทย:
ราคารถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ สูงเทียบเท่ารายได้เฉลี่ยของคนเมือง
ไม่มีบัตรแบบรายวัน/รายเดือนที่จ่ายครั้งเดียวจบ
ระบบข้ามสาย (interchange) ต้องจ่ายซ้ำ ทั้งที่นั่งในเมืองเดียวกัน
4. การเข้าถึง (Accessibility)
ต่างประเทศ:
ลิฟต์ บันไดเลื่อน พื้นต่างระดับ รองรับคนพิการและผู้สูงอายุครบ
มีเสียงบอกทาง ภาษาหลายภาษา และป้ายดิจิทัล
ระบบขนส่ง = ทุกคนใช้ได้
ไทย:
ยังมีสถานีที่ไม่มีลิฟต์
ป้ายบอกทางมักมีแค่ภาษาไทย
คนพิการยังเข้าถึงระบบขนส่งได้ยากในหลายพื้นที่
ไทยยังต้องเร่งเครื่อง (แต่ไม่ใช่ว่าเราแย่!)
ไทยเริ่มพัฒนาแล้ว เช่น รถไฟฟ้าสายใหม่, รถไฟฟ้าความเร็วสูงที่กำลังสร้าง, และการขยายเส้นทางในต่างจังหวัด
แต่การจะเทียบเท่าระดับโลก ต้องพัฒนาแบบ องค์รวม: โครงสร้างพื้นฐาน + วัฒนธรรมการเดินทาง + เทคโนโลยี + ความยั่งยืน