แชร์

Pareto Principle (หลักการพาเรโต้) กฎ 80/20 ทำน้อย ได้มาก

ChatGPT_Image_27_มิ_ย_2568_09_35_26.png BANKKUNG
อัพเดทล่าสุด: 12 ก.พ. 2025
1143 ผู้เข้าชม

Pareto Principle (หลักการพาเรโต้) กฎ 80/20 ทำน้อย ได้มาก

 

หลักการพาเรโต้ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ กฎ 80/20 เป็นแนวคิดที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ มักจะมาจาก 20% ของสาเหตุ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งสำคัญเพียงเล็กน้อย (20%) กลับส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ส่วนใหญ่ (80%)

 

ที่มาของชื่อ

ชื่อของหลักการนี้มาจากวิลเฟรโด พาเรโต (Vilfredo Pareto) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลี ที่สังเกตเห็นว่า 80% ของที่ดินในอิตาลีเป็นของคนเพียง 20% ของประชากรทั้งหมด

 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด

  • การทำงาน: 20% ของงานที่คุณทำอาจสร้างผลลัพธ์ถึง 80% ของเป้าหมายทั้งหมด
  • การขาย: 20% ของลูกค้าอาจสร้างรายได้ให้ 80% ของยอดขายทั้งหมด
  • การใช้เวลา: 20% ของกิจกรรมที่คุณทำ อาจใช้เวลาไปถึง 80% ของเวลาทั้งหมด

 

แผนภูมิพาเรโต้ (Pareto Chart)

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น มักจะใช้แผนภูมิพาเรโต้ในการแสดงข้อมูล ซึ่งเป็นการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของกราฟแท่งที่เรียงลำดับจากมากไปน้อย โดยแกนตั้งแสดงความถี่ หรือค่า และแกนแนวนอนแสดงหมวดหมู่ต่างๆ 

 

ขอบคุณภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Pareto_chart

 

ประโยชน์ของหลักการพาเรโต้

  • ช่วยให้โฟกัส: ช่วยให้เราสามารถระบุสิ่งที่สำคัญที่สุดและให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นๆ
  • เพิ่มประสิทธิภาพ: ช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการลงทุนเวลาและทรัพยากรไปกับสิ่งที่สำคัญที่สุด
  • ลดความยุ่งเหยิง: ช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยการกำจัดสิ่งที่ไม่สำคัญออกไป
  • ปรับปรุงกระบวนการทำงาน: ช่วยให้เราสามารถระบุปัญหาหลักและหาแนวทางแก้ไขได้อย่างตรงจุด

 

 

การนำหลักการพาเรโต้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน

  • การทำงาน: กำหนดงานที่สำคัญที่สุดและให้ความสำคัญกับงานเหล่านั้นก่อน
  • การเรียนรู้: โฟกัสไปที่หัวข้อที่สำคัญที่สุดก่อน
  • การจัดการเวลา: ใช้เวลาส่วนใหญ่กับกิจกรรมที่สร้างผลลัพธ์สูงสุด
  • การจัดการเงิน: จัดสรรงบประมาณให้กับสิ่งที่สำคัญที่สุด

 

หลักการพาเรโต้ในแง่มุมต่างๆ ของการตลาด

ลูกค้า

  • 80% ของยอดขาย มักจะมาจาก 20% ของลูกค้า ที่มีความภักดีสูงสุด
  • การนำไปใช้:

            - แบ่งกลุ่มลูกค้า: แบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มๆ ตามมูลค่าที่สร้างให้กับธุรกิจ
           - ให้ความสำคัญกับลูกค้า VIP: มอบสิทธิพิเศษและโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้ากลุ่มนี้
           - ลดความสำคัญกับลูกค้าที่ไม่สร้างผลตอบแทน: อาจปรับกลยุทธ์การตลาดสำหรับกลุ่มลูกค้านี้ใหม่หรือเลิกให้ความสำคัญ

 

ผลิตภัณฑ์

  • 80% ของกำไร มักจะมาจาก 20% ของผลิตภัณฑ์
  • การนำไปใช้:

        -  วิเคราะห์สินค้า: วิเคราะห์ว่าผลิตภัณฑ์ใดสร้างกำไรให้มากที่สุด
        -  โฟกัสที่สินค้าดาวเด่น: เพิ่มการลงทุนในด้านการตลาดและการพัฒนาสินค้ากลุ่มนี้
        -  ลดสินค้าที่ไม่ทำกำไร: พิจารณาปรับปรุงหรือยกเลิกสินค้าที่ไม่ทำกำไร

 

ช่องทางการตลาด

  • 80% ของยอดขาย มักจะมาจาก 20% ของช่องทางการตลาด
  • การนำไปใช้:

         - วิเคราะห์ช่องทาง: วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแต่ละช่องทาง
         - โฟกัสที่ช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุด: เพิ่มงบประมาณและทรัพยากรในการทำการตลาดผ่านช่องทางเหล่านี้
         - ลดช่องทางที่ไม่ได้ผล ปรับลดหรือยกเลิกการใช้ช่องทางที่ไม่ให้ผลตอบแทนที่ดี

 

กิจกรรมทางการตลาด

  • 80% ของผลลัพธ์ มักจะมาจาก 20% ของกิจกรรมทางการตลาด
  • การนำไปใช้:

         - วิเคราะห์กิจกรรม: วิเคราะห์ว่ากิจกรรมใดให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
        - โฟกัสที่กิจกรรมที่มีประสิทธิภาพ: เพิ่มงบประมาณและทรัพยากรในการทำกิจกรรมเหล่านี้
        - ลดกิจกรรมที่ไม่ได้ผล: ปรับลดหรือยกเลิกกิจกรรมที่ไม่ให้ผลตอบแทนที่ดี

 

ตัวอย่างการนำหลักการพาเรโต้ไปใช้ในการตลาด

  • ร้านค้าออนไลน์: พบว่า 20% ของลูกค้าสร้างยอดขาย 80% จึงมุ่งเน้นการทำโปรโมชั่นและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มนี้เป็นพิเศษ
  • บริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค: พบว่า 20% ของผลิตภัณฑ์สร้างกำไร 80% จึงตัดสินใจเพิ่มสายการผลิตและทำการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มากขึ้น
  • บริษัทท่องเที่ยว: พบว่า 20% ของช่องทางการขาย (เช่น เว็บไซต์บริษัท) สร้างยอดจองห้องพักได้ 80% จึงเพิ่มงบประมาณในการพัฒนาเว็บไซต์และทำการตลาดออนไลน์

 

ประโยชน์ของการนำหลักการพาเรโต้มาใช้ในการตลาด

  • เพิ่มประสิทธิภาพ: ช่วยให้ธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่กิจกรรมที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด
  • ลดต้นทุน: ช่วยลดต้นทุนโดยการตัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นออกไป
  • เพิ่มผลกำไร: ช่วยเพิ่มยอดขายและกำไรให้กับธุรกิจ
  • ปรับปรุงการตัดสินใจ: ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

 

สรุป

หลักการพาเรโต้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการช่วยให้ธุรกิจสามารถบรรลุเป้าหมายทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำหลักการนี้ไปใช้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่สิ่งที่สำคัญที่สุด และหลีกเลี่ยงการกระจายทรัพยากรไปในหลายๆ ด้านที่ไม่จำเป็น



 
 

 









บทความที่เกี่ยวข้อง
ยุติสงคราม Sales vs. Marketing! สร้าง SLA กฎเหล็กเชื่อม 2 ทีม ส่งต่อ Lead ไม่สะดุด ปิดการขายพุ่ง
"Marketing หา Lead มาให้ แต่ Sales ไม่เคยตาม!" "Sales บอก Lead ที่ได้มาห่วยแตก ปิดการขายไม่ได้!" เสียงบ่นเหล่านี้คือสัญญาณคลาสสิกของ "สงครามเงียบ" ระหว่างทีม Sales และ Marketing ที่เกิดขึ้นในหลายองค์กร ปัญหานี้ไม่ได้ทำให้แค่เสียบรรยากาศในการทำงาน แต่ยังหมายถึง "โอกาสทางธุรกิจ" และ "รายได้" ที่หลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย
ร่วมมือ.jpg Contact Center
7 พ.ย. 2025
"Smarketing" คืออะไร? หยุดสงครามน้ำลาย! เมื่อการตลาด (Marketing) กับการขาย (Sales) ต้องจับมือกันเพื่อ "ยอดขาย"
"ทีมการตลาดหา Lead มาไม่ดีเลย ลูกค้าไม่เห็นสนใจจริงสักคน!" "ทีมขายนั่นแหละ ไม่ยอมตาม Lead ที่ส่งไปให้ มัวแต่ทำอะไรอยู่!" บทสนทนาแนวนี้คือ "สงครามคลาสสิก" ที่เกิดขึ้นในหลายองค์กร จนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ความจริงแล้ว... นี่คือปัญหาใหญ่ที่กำลังกัดกินศักยภาพการเติบโตของบริษัทคุณอยู่ ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูง การที่สองแผนกสำคัญที่สุดในการสร้างรายได้ (การตลาดและทีมขาย) ไม่คุยกัน หรือทำงานขัดแข้งขัดขากันเอง คือการสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างมหาศาล วันนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ "Smarketing" (Sales + Marketing) กาวใจชั้นดีที่จะมาสลายกำแพงนี้ และผนึกกำลังทั้งสองทีมให้กลายเป็นหน่วยรบที่แข็งแกร่งที่สุด โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ "ยอดขาย" ที่พุ่งทะยาน
ร่วมมือ.jpg Contact Center
6 พ.ย. 2025
Pomelli โดย Google — ตัวช่วย AI ทำการตลาด สร้างคอนเทนต์ง่าย ๆ ใน 3 ขั้นตอน
Pomelli โดย Google — ตัวช่วย AI ทำการตลาด สร้างคอนเทนต์ง่าย ๆ ใน 3 ขั้นตอน
Screenshot_2025_09_02_160144_1.png พี่ปี
4 พ.ย. 2025
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ