แชร์

RFM Model เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าที่ทรงพลัง

ChatGPT_Image_27_มิ_ย_2568_09_35_26.png BANKKUNG
อัพเดทล่าสุด: 11 ก.พ. 2025
592 ผู้เข้าชม

RFM Model เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าที่ทรงพลัง

 

RFM Model ย่อมาจาก Recency, Frequency, Monetary เป็นเครื่องมือที่นักการตลาดนิยมใช้เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า และแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ที่มีความแตกต่างกัน เพื่อให้สามารถวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

RFM Model ประกอบด้วยอะไรบ้าง?

  • Recency (R): หมายถึงความถี่ในการซื้อล่าสุดของลูกค้า ยิ่งลูกค้าซื้อสินค้าหรือใช้บริการเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อซ้ำสูง
  • Frequency (F): หมายถึงความถี่ในการซื้อสินค้าหรือใช้บริการของลูกค้า ยิ่งลูกค้าซื้อสินค้าบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความภักดีต่อแบรนด์มากขึ้นเท่านั้น
  • Monetary (M): หมายถึงมูลค่าการซื้อทั้งหมดที่ลูกค้าแต่ละรายใช้จ่ายกับธุรกิจ ลูกค้าที่ใช้จ่ายเงินมากก็มีความสำคัญต่อธุรกิจมากกว่าลูกค้าที่ใช้จ่ายเงินน้อย

 

ทำไม RFM Model ถึงสำคัญ?

  • เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า: ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างลึกซึ้ง
  • แบ่งกลุ่มลูกค้า: ช่วยแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ตามพฤติกรรมการซื้อ เพื่อให้สามารถกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดที่แตกต่างกันได้
  • เพิ่มประสิทธิภาพการตลาด: ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ทรัพยากรทางการตลาดได้อย่างคุ้มค่า โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่สำคัญ
  • เพิ่มยอดขาย: ช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้มากขึ้น

 

 

วิธีการนำ RFM Model ไปใช้

  1. รวบรวมข้อมูล: รวบรวมข้อมูลการซื้อของลูกค้าทั้งหมด เช่น วันที่ซื้อ สินค้าที่ซื้อ และจำนวนเงินที่ใช้จ่าย
  2. คำนวณคะแนน RFM: ให้คะแนนลูกค้าแต่ละรายตามค่า Recency, Frequency และ Monetary
  3. แบ่งกลุ่มลูกค้า: แบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ตามคะแนน RFM ที่ได้
  4. วิเคราะห์และสร้างกลยุทธ์: วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม และกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม

 

ตัวอย่างการนำ RFM Model ไปใช้

  • กลุ่มลูกค้าที่มีค่าสูงสุด (Champions): ลูกค้าที่ซื้อสินค้าบ่อย มูลค่าการซื้อสูง และเพิ่งซื้อสินค้าไปเมื่อไม่นานมานี้ ควรให้ความสำคัญและเสนอโปรโมชั่นพิเศษเพื่อรักษาความสัมพันธ์
  • กลุ่มลูกค้าที่กำลังจะหายไป (At Risk): ลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าบ่อย แต่ช่วงหลังๆ มาซื้อน้อยลง ควรส่งโปรโมชั่นเพื่อดึงลูกค้ากลับมา
  • ลูกค้าใหม่: ลูกค้าที่เพิ่งซื้อสินค้าครั้งแรก ควรส่งโปรโมชั่นต้อนรับเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว

 

RFM Model เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจลูกค้าของตนได้ดีขึ้น และสามารถวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำ RFM Model ไปใช้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มยอดขาย รักษาลูกค้า และสร้างความเติบโตได้ในระยะยาว

 


บทความที่เกี่ยวข้อง
Hyper-Personalized Delivery: มัดใจลูกค้าด้วยการขนส่งที่ "รู้ใจ" และ "เลือกได้"
จบปัญหา "มาส่งตอนไม่อยู่" สู่ยุคที่ "ลูกค้าเป็นคนคุมเกม" เคยไหมครับ? สั่งของไปแล้วต้องมานั่งลุ้นว่าขนส่งจะโทรมาตอนไหน พอโทรมาก็ดันติดประชุม หรือพอของมาถึงก็ไม่มีคนอยู่บ้านจนต้องตีของกลับ... นี่คือ Pain Point คลาสสิกที่ทำลายประสบการณ์การซื้อของออนไลน์มานานนับสิบปี แต่ในปี 2025 ยุคที่ "ลูกค้าคือพระเจ้า" อย่างแท้จริง การขนส่งแบบเดิมที่กำหนดเวลาตายตัว (8.00 - 17.00 น.) กำลังจะตายไป และถูกแทนที่ด้วยเทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า "Hyper-Personalized Delivery" หรือ การขนส่งแบบรู้ใจเฉพาะบุคคล วันนี้ BS Group จะพาคุณไปดูว่า เมื่อการตลาดและโลจิสติกส์มาเจอกัน มันจะเปลี่ยนการส่งของธรรมดา ให้กลายเป็น "บริการที่ลูกค้ารัก" ได้อย่างไร?
ลูกดิว เด็กฝึกงาน
17 ธ.ค. 2025
The Unboxing Experience: สร้างความประทับใจแรกพบ เมื่อ "กล่องพัสดุ" คือเซลส์แมนคนสุดท้าย
ในยุคที่การช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติ หลายแบรนด์ทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการยิงโฆษณา การทำคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย หรือการจ้างอินฟลูเอนเซอร์เพื่อดึงลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ แต่มีจุดหนึ่งที่หลายคนมักมองข้าม—จุดที่สำคัญที่สุดเมื่อสินค้าเดินทางไปถึงมือลูกค้า นั่นคือ "วินาทีแห่งการแกะกล่อง" (The Unboxing Experience) ทำไมกล่องพัสดุธรรมดาๆ ถึงถูกเปรียบเปรยว่าเป็น "เซลส์แมนคนสุดท้าย" และเราจะเปลี่ยนกล่องกระดาษสีน้ำตาลให้กลายเป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังได้อย่างไร? มาหาคำตอบกันครับ
ร่วมมือ.jpg Contact Center
13 ธ.ค. 2025
FOMO Marketing: ศิลปะการกระตุ้นความ "เสียดาย" ให้กลายเป็น "ยอดขาย" แบบเนียน ๆ (ไม่ยัดเยียด)
เคยไหม? ที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะซื้อของชิ้นนั้น แต่พอเห็นป้าย "เหลือ 2 ชิ้นสุดท้าย" หรือเพื่อนในโซเชียลเริ่มแชร์กันเต็มหน้าฟีด จู่ๆ มือของคุณก็กดสั่งซื้อไปโดยอัตโนมัติ... นี่คือกำลังของ FOMO (Fear of Missing Out) หรือ "ความกลัวที่จะตกขบวน" ในโลกการตลาด FOMO คืออาวุธที่ทรงพลังมาก แต่ถ้าใช้ไม่เป็น มันจะกลายเป็น "ดาบสองคม" ที่ทำให้แบรนด์ดูน่ารำคาญและยัดเยียดทันที วันนี้เราจะมาเจาะลึกเทคนิคการใช้ FOMO Marketing ให้ดู Classy ดูแพง และกระตุ้นลูกค้าได้แบบแยบยลครับ
ร่วมมือ.jpg Contact Center
10 ธ.ค. 2025
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ