แชร์

6 ประเภทลูกค้าประจำที่สำคัญกับธุรกิจพร้อมไอเดียการตลาด

อัพเดทล่าสุด: 13 ก.ย. 2024
41 ผู้เข้าชม
6 ประเภทลูกค้าประจำที่สำคัญกับธุรกิจพร้อมไอเดียการตลาด

6 ประเภทลูกค้าประจำที่สำคัญกับธุรกิจพร้อมไอเดียการตลาด

1. Emotional Loyalty

  • ลูกค้าประจำประเภทนี้คือ ลูกค้าที่ไม่ได้เพียงแค่ชื่นชอบแบรนด์เพราะประโยชน์ของสินค้าแต่ยังชื่นชอบแบรนด์เพราะมีความผูกพัน มีความรู้สึกดี ๆ และมีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ ส่งผลให้ลูกค้ากลับมาซื้อหรือใช้บริการจากแบรนด์ซ้ำ ๆซึ่งแม้ว่าจะมีแบรนด์อื่น ที่สินค้าหรือบริการมีความใกล้เคียงกับแบรนด์ของเรา แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ก็ยังคงเลือกสินค้าหรือบริการจากแบรนด์ของเราเหมือนเดิมอยู่ดีโดยส่วนใหญ่แล้ว ธุรกิจที่มักจะมีลูกค้าประจำประเภทนี้คือ ธุรกิจขายตรง ธุรกิจอาหารเสริมเพราะธุรกิจประเภทนี้ มักจะต้องมีการติดต่อกับลูกค้าเป็นการส่วนตัว ทำให้พนักงานของแบรนด์ หรือเซลส์สามารถให้บริการและใส่ใจต่อลูกค้าได้เป็นรายคน จึงมักจะทำให้ลูกค้าเกิดความไว้ใจ และสนิทสนมกับแบรนด์ได้ง่าย   ดังนั้น หากแบรนด์ของเราอยากมีลูกค้าประจำประเภทนี้ วิธีการที่สำคัญคือ เน้นการสร้างความสนิทสนม ให้ลูกค้าผูกพันกับแบรนด์ของเรานั่นเอง

2. Advocacy Loyalty

  • ลูกค้าประจำประเภทนี้คือ ลูกค้าที่ได้ลองใช้งานสินค้าหรือบริการจากแบรนด์ และพบว่าสามารถตอบสนองความต้องการได้จริง ๆ จึงพร้อมที่จะเป็นลูกค้าประจำ และบอกต่อสิ่งดี ๆ ของแบรนด์ ซึ่งเป็นการสร้างการรับรู้ (Brand Awareness) ให้คนรอบ ๆ ตัวได้รู้จักกับแบรนด์ของเรา ซึ่งลูกค้าประจำประเภทนี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุก ๆ แบรนด์โดยวิธีปรับกลยุทธ์ให้มีลูกค้าประจำประเภทนี้ได้ง่าย ๆ คือ การจูงใจให้ลูกค้าบอกต่อ ด้วยการจัดโปรโมชันเชิญเพื่อน (Referral Program)

    ยกตัวอย่างเช่น
    - การแจกส่วนลดให้กับลูกค้าเดิม เมื่อสามารถดึงลูกค้าใหม่ให้เข้ามาใช้งาน
    - การแจกรางวัล แบบแพลตฟอร์ม TikTok ที่ยิ่งเราเชิญผู้ใช้งานรายใหม่เข้ามาใช้งานได้มาก ก็ยิ่งได้รับเงินรางวัลที่มากขึ้น

3. Transactional Loyalty

  • ลูกค้าประจำประเภทนี้คือ ลูกค้าประจำที่กลับมาซื้อซ้ำ ๆ และซื้อในมูลค่าที่สูง ทำให้เป็นลูกค้าที่มียอดคำสั่งซื้อสูงกว่าลูกค้าทั่ว ๆ ไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว วิธีการที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อ คือ การจัดโปรโมชัน มอบส่วนลดแต่การที่แบรนด์ของเราจะมีลูกค้าประเภทด้านยอดค่าใช้จ่าย หรือรักษาลูกค้าประเภทนี้ได้ คือ การมอบส่วนลดพิเศษเฉพาะบุคคล   ซึ่งนอกจากจะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ๆ แล้ว ยังทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความพิเศษ หรือการเป็นลูกค้าคนสำคัญกว่าลูกค้าทั่ว ๆ ไป
    ยกตัวอย่างเช่น
    - แพลตฟอร์มจองโรงแรมอย่าง Trip เมื่อลูกค้ามีการจองโรงแรมมากขึ้น ลูกค้าก็จะได้รับการเลื่อนระดับ และในแต่ละระดับก็จะมีสิทธิพิเศษแตกต่างกันออกไป ซึ่งยิ่งระดับสูง ก็ยิ่งได้รับสิทธิพิเศษมากขึ้นอีกด้วย


4. Social Loyalty

  • ลูกค้าประจำประเภทนี้คือ ลูกค้าประจำด้านการแชร์เนื้อหา
    หมายถึง ลูกค้าประจำที่มักจะรีวิว แบ่งปัน หรือแชร์ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับแบรนด์ บนช่องทางต่าง ๆ เช่น บนเว็บไซต์ บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งแบรนด์สามารถกระตุ้นให้เกิดลูกค้าประเภทนี้ได้ เช่น

    - การมอบส่วนลด หรือโปรโมชันเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับลูกค้าที่รีวิวสินค้าของแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย
    - การสร้าง Community หรือกรุ๊ปบน Facebook เพื่อเป็นพื้นที่ที่กระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาแชร์ประสบการณ์ร่วมกัน และสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

5. Engagement Loyalty

  • ลูกค้าประเภทนี้คือ ลูกค้าที่มักเข้ามามีส่วนร่วม หรือมีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์เป็นประจำซึ่งแบรนด์สามารถสร้างลูกค้าประจำประเภทนี้ได้ ด้วยการใช้กลยุทธ์ Gamification หรือการสร้างเกมต่าง ๆ ขึ้นมา โดยมีผลตอบแทนเป็นรางวัล
    ตัวอย่างแพลตฟอร์มที่ใช้กลยุทธ์นี้ เช่น
    - Shopee และ Lazada ที่มีเกมปลูกผัก, ยิงลูกบอล และเกมอื่น ๆ เมื่อเราเล่นจนถึงด่านเป้าหมาย เราก็จะได้รับโคดส่วนลดในการซื้อสินค้าเป็นรางวัลตอบแทน

    ซึ่งการที่มีเกมให้เล่นแบบนี้ จะทำให้ลูกค้าไม่ได้คิดถึงแพลตฟอร์มเหล่านี้ เวลาจะช็อปปิง ซื้อสินค้าเท่านั้น
    แต่จะยังคิดถึงฟีเชอร์เกมที่อยู่ภายใน ทำให้เข้ามาใช้งานแพลตฟอร์มเหล่านี้มากขึ้น จนกลายเป็นลูกค้าประจำ
    และถ้าหากฟีเชอร์ Gamification ประสบความสำเร็จ
    นอกจากจะทำให้เกิดลูกค้าประจำเพิ่มขึ้นแล้ว อาจทำให้เกิดชุมชนของกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบในการเล่นเกมของแบรนด์ได้อีกด้วย

6. Behavioral Loyalty

  • พฤติกรรมของลูกค้าประจำแบบนี้คือ การกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากแบรนด์ของเราบ่อย ๆ
    แต่สาเหตุพื้นฐานของพฤติกรรมกลุ่มลูกค้าประจำที่ยังเลือกใช้แบรนด์ของเรา สามารถแบ่งย่อยได้ 3 รูปแบบ ได้แก่

    - มีมุมมองในเชิงบวกต่อแบรนด์
    เนื่องจากสินค้าหรือบริการจากแบรนด์ของเรา สามารถตอบสนองความต้องการและสร้างความประทับใจกับลูกค้ากลุ่มนี้ได้ จึงทำให้กลายเป็นลูกค้าประจำของแบรนด์เรา

    - เฉย ๆ ต่อแบรนด์เรา แต่ไม่อยากวุ่นวายในการเปลี่ยนแบรนด์
    ลูกค้ากลุ่มนี้จะมองว่าสินค้าของแบรนด์อื่น ก็ไม่ได้แตกต่างจากแบรนด์เรา ทำให้ไม่มีความต้องการที่จะเปลี่ยนแบรนด์
    เพราะเมื่อเปลี่ยนแบรนด์ก็จะเกิดความยุ่งยาก ลูกค้ากลุ่มนี้จึงกลายเป็นลูกค้าประจำไปโดยปริยาย

    - เป็นลูกค้าประจำอยู่แล้ว
    เนื่องจากหากเปลี่ยนแบรนด์ อาจทำให้เสียผลประโยชน์ เช่น เสียสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าประจำ หรือเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จึงเลือกใช้แบรนด์ของเราต่อไป

 



BY : AUEY

ที่มา : chat gpt

บทความที่เกี่ยวข้อง
Flexport แพลตฟอร์มด้านโลจิสติกส์อย่างไร
Flexport เป็นแพลตฟอร์มด้านโลจิสติกส์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการจัดการการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
11 ต.ค. 2024
Brand Awareness คืออะไร พร้อมเคล็ดลับสร้างการรับรู้แบรนด์
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการสร้างแบรนด์ คือการทำให้คนสามารถจดจำแบรนด์ของคุณได้ และเปิดใจให้กับสินค้าและบริการของคุณในเวลาต่อมา ซึ่งการทำให้คนจดจำ หรือที่รู้จักกันดีในนามการสร้าง Brand Awareness
10 ต.ค. 2024
Sales pipeline คืออะไร? สำคัญอย่างไรต่อการเพิ่มยอดขาย
Sales pipeline คือ การวางแผนการขาย หรือเครื่องมือที่ช่วยในการบริหารยอดขายเป็นขั้นตอน เริ่มจากการเก็บข้อมูลลูกค้าการสื่อสารการโปรโมชั่นให้กับลูกค้าทราบ
10 ต.ค. 2024
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ