รู้หรือไม่? พัสดุหนึ่งชิ้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่
เคยไหมครับ เวลาสั่งของออนไลน์แล้วของมาส่งถึงหน้าบ้าน เรามักจะรู้สึกสะดวกสบายมาก ๆ แต่เคยสงสัยบ้างไหมว่า เบื้องหลังการเดินทางของพัสดุหนึ่งชิ้นนั้น แท้จริงแล้วสร้างรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) เอาไว้มากแค่ไหน?
ในยุคที่ทุกคนคลิกสั่งของเพียงปลายนิ้ว พัสดุหลายล้านชิ้นกำลังเดินทางบนท้องถนน บนเครื่องบิน และแม้แต่ในเรือสินค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงาน และสุดท้ายก็คือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ
วันนี้เราจะพามาเจาะลึกกันว่า พัสดุหนึ่งชิ้นต้องผ่านอะไรบ้าง และ มลพิษ ที่เกิดขึ้นนั้นมีผลกระทบมากแค่ไหน
พัสดุหนึ่งชิ้นต้องเดินทางไกลกว่าที่คิด
ลองจินตนาการว่า คุณสั่งหูฟังหนึ่งคู่จากร้านค้าออนไลน์ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ:
การขนส่งจากโรงงาน คลังสินค้า
อาจใช้รถบรรทุกหลายร้อยกิโลเมตร
ถ้าเป็นสินค้านำเข้าก็ต้องผ่านการขนส่งทางเรือหรือเครื่องบิน
จากคลังสินค้าหลัก ศูนย์กระจายสินค้า
ต้องใช้รถบรรทุกหรือรถตู้เพื่อกระจายไปยังแต่ละจังหวัด
จากศูนย์กระจาย สาขาปลายทาง
มีการคัดแยกพัสดุ แล้วโหลดขึ้นรถเล็กสำหรับ Last Mile
จากรถส่งของ บ้านคุณ
ระยะทางอาจไม่กี่กิโล แต่คือขั้นที่ใช้พลังงานต่อหน่วยสูงที่สุด
ทั้งหมดนี้รวมกัน แม้พัสดุจะหนักเพียงไม่กี่ร้อยกรัม แต่ก็ต้องอาศัยโครงสร้างขนาดใหญ่ของโลจิสติกส์ ซึ่งทุกขั้นตอนมี การปล่อยคาร์บอน แทรกอยู่
ตัวเลขจริง: พัสดุหนึ่งชิ้นปล่อยก๊าซเท่าไหร่?
จากรายงานของ MIT Real Estate Innovation Lab และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม พบว่า:
การส่งพัสดุทั่วไป (Standard Delivery) ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ย 0.5 1 กิโลกรัม CO ต่อการส่ง 1 ชิ้น
การส่งด่วน (Express Delivery) ปล่อยมากกว่า 2 เท่า เพราะใช้เครื่องบินและต้องรีบจัดเส้นทาง
การคืนสินค้า (Return Logistics) ยิ่งเพิ่มรอยเท้าคาร์บอน เพราะต้องเดินทางย้อนกลับ
เมื่อเทียบง่าย ๆ
พัสดุหนึ่งชิ้น = การใช้ไฟบ้านประมาณ 23 วัน
การสั่งของออนไลน์วันละ 1 ชิ้นตลอดทั้งปี = การปล่อย CO เทียบเท่าการขับรถยนต์ส่วนตัวระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร
ทำไม Last Mile Delivery ถึงปล่อยมลพิษสูงที่สุด?
แม้ระยะทางจากศูนย์กระจายสินค้ามาถึงบ้านลูกค้าจะสั้นที่สุด แต่กลับเป็นช่วงที่สิ้นเปลืองที่สุด เพราะ:
รถต้องขับวนหลายเส้นทางเพื่อส่งทีละบ้าน
พัสดุต่อคันมีจำนวนไม่มาก ทำให้การใช้เชื้อเพลิงต่อชิ้นสูง
การจราจรติดขัดทำให้ปล่อยไอเสียเพิ่มขึ้น
นี่คือเหตุผลที่บริษัทขนส่งทั่วโลกกำลังพยายามปรับปรุง Last Mile ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
โลจิสติกส์สีเขียว: จะลดคาร์บอนจากพัสดุได้อย่างไร?
ใช้รถพลังงานสะอาด
รถ EV และไฮบริดเริ่มเข้ามามีบทบาท ช่วยลดไอเสียในเมืองใหญ่
เส้นทางที่ชาญฉลาด (Smart Routing)
ใช้ AI และ Big Data ช่วยวางแผนเส้นทางที่สั้นที่สุด ลดการวิ่งเปล่า
คลังสินค้าใกล้ลูกค้า
แนวคิด Micro Fulfillment Center ทำให้ระยะ Last Mile สั้นลงมาก
บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก
ใช้กล่องและวัสดุที่รีไซเคิลได้ เพื่อลดการสิ้นเปลืองที่ไม่จำเป็น
ลดการคืนสินค้า
การให้ข้อมูลสินค้าอย่างละเอียด ลดความผิดพลาด ทำให้ไม่ต้องขนส่งซ้ำ
ผู้บริโภคมีส่วนร่วมได้ยังไง?
ไม่ใช่แค่บริษัทขนส่งที่ต้องปรับตัว แต่ ลูกค้าอย่างเราเองก็ช่วยได้ เช่น:
เลือกการส่งแบบธรรมดาแทนการด่วนถ้าไม่จำเป็น
รวมการสั่งซื้อหลายชิ้นให้เป็นครั้งเดียว
สนับสนุนร้านค้าที่ใช้แพ็กเกจจิ้งรักษ์โลก
เลือกใช้บริการขนส่งที่ประกาศนโยบายลดคาร์บอน
สรุป
พัสดุหนึ่งชิ้นที่มาถึงบ้านเราอาจดูเล็กน้อย แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยกระบวนการโลจิสติกส์ที่ซับซ้อน และแต่ละขั้นตอนก็มี ต้นทุนต่อสิ่งแวดล้อม แฝงอยู่
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว เราจะเห็นภาพชัดขึ้นว่า ทุกการคลิกสั่งซื้อ ไม่ได้แค่ใช้เงิน แต่ยังปล่อยคาร์บอนสู่โลกใบนี้ด้วย
และนี่คือเหตุผลที่แนวคิด Green Logistics กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการขนส่งยุคใหม่