5 ตัวชี้วัดด้านโลจิสติกส์ที่เจ้าของธุรกิจควรรู้
การทำธุรกิจออนไลน์ ไม่ได้จบแค่ขายสินค้าได้ แต่หัวใจสำคัญคือ การจัดการโลจิสติกส์ เพราะมันคือขั้นตอนที่จะทำให้สินค้าถึงมือลูกค้าอย่างราบรื่น ตรงเวลา และสร้างประสบการณ์ที่ดี
แต่จะรู้ได้ยังไงว่าโลจิสติกส์ของเราดีหรือไม่ดี? คำตอบคือ ต้องมีตัวชี้วัด (KPI: Key Performance Indicator) เพื่อวัดประสิทธิภาพ วันนี้ผมเลยหยิบมาเล่า 5 ตัวที่เจ้าของธุรกิจควรรู้และควรใช้
1. อัตราการส่งตรงเวลา (On-time Delivery Rate)
นี่คือคำถามสำคัญว่า สินค้าของคุณถึงมือลูกค้าตรงตามกำหนดกี่ครั้ง?
เพราะการส่งตรงเวลาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ตัวเลขนี้สูงเท่าไร ลูกค้าก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น เช่น ถ้าคุณมีออเดอร์ 1,000 ชิ้น และ 950 ชิ้นถึงตรงเวลา แปลว่ามี On-time Delivery Rate = 95% ถือว่าดีมาก
เคล็ดลับ:
เลือกพาร์ทเนอร์ขนส่งที่ไว้ใจได้
แพ็กและส่งออกให้เร็วที่สุดหลังได้รับออเดอร์
2. อัตราสินค้าเสียหาย/สูญหาย (Damage or Loss Rate)
ไม่มีใครอยากได้สินค้าที่ชำรุดหรือสูญหายระหว่างทาง เพราะนั่นหมายถึงต้นทุนการเคลมสินค้า + ความเสียใจของลูกค้า
การวัดตัวเลขนี้ทำให้คุณรู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน เช่น มีออเดอร์ 500 ชิ้น แต่เสียหาย 10 ชิ้น เท่ากับ Damage Rate = 2% ถ้าตัวเลขนี้สูงเกินไป แปลว่าต้องปรับปรุงเรื่องการแพ็กหรือเลือกขนส่งใหม่
เคล็ดลับ:
ใช้วัสดุแพ็กที่เหมาะกับสินค้าจริงๆ
ทำเครื่องหมาย เปราะบาง หรือ ห้ามกดทับ ให้ชัดเจน
3. ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อออเดอร์ (Logistics Cost per Order)
ตัวนี้ช่วยวัดว่า ทุกออเดอร์ที่คุณขายออกไป ใช้ต้นทุนโลจิสติกส์กี่บาท เช่น ค่าขนส่ง ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าแรงงาน
ถ้าต้นทุนสูงเกินไป กำไรก็หาย ดังนั้นการวัดตัวเลขนี้ช่วยให้คุณเห็นโอกาสในการปรับปรุง เช่น รวมพัสดุจัดส่งในรอบเดียว, ใช้วัสดุที่คุ้มค่า หรือเจรจากับบริษัทขนส่งให้ได้เรทที่ดีกว่า
4. ระยะเวลาเฉลี่ยในการจัดส่ง (Average Delivery Time)
ลูกค้าคาดหวังว่าจะได้ของเร็ว แต่คำถามคือ ของจากร้านคุณใช้เวลากี่วันโดยเฉลี่ยกว่าจะถึงมือเขา?
ตัวเลขนี้ช่วยบอกว่าโลจิสติกส์ของคุณคล่องตัวหรือไม่ เช่น ถ้าเฉลี่ยแล้วส่งถึงลูกค้าใน 1.8 วัน ก็ถือว่าดีกว่าคู่แข่งที่ใช้เวลาเฉลี่ย 3 วัน
เคล็ดลับ:
จัดการสต็อกให้อยู่ใกล้กลุ่มลูกค้า
ใช้หลายพาร์ทเนอร์ขนส่งเพื่อเลือกเส้นทางที่เร็วที่สุด
5. ความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction)
แม้จะเป็นตัวเลขที่ดูนามธรรม แต่จริงๆ แล้ววัดได้ เช่น ใช้แบบสอบถามสั้นๆ ให้ลูกค้าให้ดาว หรือดูรีวิวที่ลูกค้าทิ้งไว้
ถ้าลูกค้าพูดถึงความเร็ว ความครบถ้วน หรือความเรียบร้อยของพัสดุในแง่บวก แปลว่าโลจิสติกส์ของคุณทำงานได้ดี ตรงกันข้าม ถ้ารีวิวเต็มไปด้วย ของช้า ของบุบ ก็ต้องรีบแก้ไข
สรุป
การทำธุรกิจออนไลน์ไม่ใช่แค่ขายเก่ง แต่ต้องส่งเก่งด้วย ตัวชี้วัด 5 อย่างนี้คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณมองเห็นจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนา:
อัตราการส่งตรงเวลา
อัตราสินค้าเสียหาย/สูญหาย
ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อออเดอร์
ระยะเวลาเฉลี่ยในการจัดส่ง
ความพึงพอใจของลูกค้า
ถ้าคุณเริ่มเก็บและวิเคราะห์ตัวเลขเหล่านี้เป็นประจำ คุณจะสามารถปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ให้ดีขึ้นได้เรื่อยๆ และสุดท้ายลูกค้าก็จะจดจำว่าแบรนด์ของคุณ ทั้งไว ทั้งชัวร์ ทั้งใส่ใจ