ทางเลือกสำหรับผู้ขายที่ไม่มีคลังสินค้า - Pre-order ระบบสั่งก่อน ผลิตทีหลัง
ในยุคที่การเริ่มต้นธุรกิจกลายเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย "ไม่มีคลังสินค้า" ไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป หนึ่งในโมเดลที่ตอบโจทย์ผู้ขายยุคใหม่คือระบบ Pre-order หรือ การสั่งก่อน ผลิตทีหลัง ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจแฟชั่น สินค้าแฮนด์เมด ของใช้เฉพาะกลุ่ม และสินค้าเฉพาะทางอื่น ๆ
Pre-order คืออะไร?
Pre-order (พรีออเดอร์) คือรูปแบบการขายที่ให้ลูกค้าชำระเงินล่วงหน้าเพื่อสั่งสินค้าที่ ยังไม่ถูกผลิตหรือไม่มีในสต็อก ณ ขณะนั้น โดยผู้ขายจะเริ่มผลิตหรือจัดหาสินค้าเมื่อได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาแล้ว ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงเรื่อง "สินค้าค้างสต็อก" และ "ต้นทุนคลังสินค้า"
ข้อดีของระบบ Pre-order
ไม่ต้องสต็อกสินค้า
เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจที่ยังไม่มีทุนมาก ไม่ต้องแบกรับค่าเช่าคลังสินค้า หรือค่าจัดเก็บสินค้า
ลดต้นทุนการผลิต
สามารถผลิตตามออเดอร์จริง จึงควบคุมปริมาณได้ดี ไม่ต้องผลิตเผื่อหรือเสี่ยงขาดทุนจากของเหลือ
ทดสอบตลาดก่อนลงทุนจริง
พรีออเดอร์ช่วยให้รู้ว่าสินค้าชิ้นไหนเป็นที่ต้องการของตลาดจริงก่อนจะตัดสินใจผลิตจำนวนมาก
เพิ่มคุณค่าความพิเศษให้สินค้า
ลูกค้ามักรู้สึกว่าสินค้า Pre-order มีความพิเศษหรือทำมาเฉพาะ จึงสร้างภาพลักษณ์สินค้าแบบ Limited Edition ได้
ข้อควรระวังในการทำ Pre-order
การจัดการเวลา
ต้องบริหารจัดการระยะเวลาผลิตและจัดส่งให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่ารอนานเกินไป
ความน่าเชื่อถือของซัพพลายเออร์
หากพึ่งผู้ผลิตหรือแหล่งจัดหาภายนอก ต้องมั่นใจว่าเชื่อถือได้ ส่งตรงเวลา และคุณภาพคงที่
ต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่าสินค้าเป็น Pre-order ไม่ได้มีพร้อมส่ง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือข้อร้องเรียน
ตัวอย่างธุรกิจที่ใช้ Pre-order ได้ผลดี
- แฟชั่นดีไซน์เนอร์ ที่ผลิตเสื้อผ้าเฉพาะออเดอร์ ช่วยลดปัญหาเสื้อผ้าค้างสต็อก
- ของเล่นหรือสินค้าคอลเลกชันพิเศษ ที่ผลิตตามจำนวนที่ลูกค้าสั่งเท่านั้น
- ของขวัญทำมือ/สินค้าแฮนด์เมด ที่ใช้เวลาในการผลิตแต่ลูกค้ายินดีรอ
Pre-order เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ขายที่ไม่มีคลังสินค้า โดยช่วยลดความเสี่ยงเรื่องต้นทุนสินค้าและคลังสินค้า พร้อมสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบการขายในยุคใหม่ เพียงแค่บริหารจัดการให้ดี สื่อสารตรงไปตรงมากับลูกค้า ก็สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างมั่นใจ แม้ไม่มีคลังเป็นของตัวเอง