กองทุนรวม SSF และ RMF ต่างกันยังไง เลือกอันไหนดี?
อัพเดทล่าสุด: 18 ธ.ค. 2024
877 ผู้เข้าชม
ทำความรู้จัก SSF กับ RMF
กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF: Super Savings Fund) เป็นกองทุนที่เน้นการออม และยังเป็นตัวช่วยในการลดหย่อนภาษี ซึ่งกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว SSF เป็นกองทุนที่มาแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF ที่หมดอายุไปเมื่อปี 2562
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (RMF: Retirement Mutual Fund) เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมเงินไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ มีลักษณะคล้ายกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเอกชน และกองทุนบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ ซึ่งมีสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีได้
SSF และ RMF มีเงื่อนไขแตกต่างกันอย่างไร?
-SSF ต้องถือไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ โดยที่ RMF จะถือขั้นต่ำ 5 ปี และขายออกได้ตอนอายุครบ 55 ปี บริบูรณ์
-SSF ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี แต่ RMF ต้องซื้อต่อเนื่องอย่างน้อยปีเว้นปี
-SSF สามารถลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 200,000 บาท ส่วน RMF สามารถลดหย่อนไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท แต่ทั้งหมดนี้เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนออมแห่งชาติ ประกันหรือกองทุนบำนาญอื่น ๆ แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
-SSF ต้องถือไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ โดยที่ RMF จะถือขั้นต่ำ 5 ปี และขายออกได้ตอนอายุครบ 55 ปี บริบูรณ์
-SSF ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี แต่ RMF ต้องซื้อต่อเนื่องอย่างน้อยปีเว้นปี
-SSF สามารถลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 200,000 บาท ส่วน RMF สามารถลดหย่อนไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท แต่ทั้งหมดนี้เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนออมแห่งชาติ ประกันหรือกองทุนบำนาญอื่น ๆ แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
SSF และ RMF มีเงื่อนไขคล้ายกันอย่างไร?
-สามารถลงทุนได้ตลอดทั้งปี และมีหลากหลายนโยบายการลงทุน
-ลงทุนในทุกสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนทองคำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
-ไม่มีเงินลงทุนขั้นต่ำ และหากลงทุนครบตามเงื่อนไข จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
-สามารถลงทุนได้ตลอดทั้งปี และมีหลากหลายนโยบายการลงทุน
-ลงทุนในทุกสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนทองคำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
-ไม่มีเงินลงทุนขั้นต่ำ และหากลงทุนครบตามเงื่อนไข จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
SSF และ RMF เหมาะกับใคร?
ในการตัดสินใจเลือกกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษีนั้น จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ มาประกอบการพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายในการลงทุน หรือระยะเวลาในการลงทุน เพื่อให้ได้กองทุนที่ตอบโจทย์กับความต้องการมากที่สุด โดย SSF กับ RMF ก็มีความเหมาะสมและตอบสนองความต้องการในการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
-SSF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาวมากกว่า 10 ปี
-RMF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี และต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณโดยเฉพาะผู้ที่ประกอบวิชาชีพอิสระ หรือ ลูกจ้าง พนักงาน ที่ไม่มีสวัสดิการและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และยังเหมาะสำหรับลูกจ้าง พนักงาน หรือ ข้าราชการที่ต้องการจะออมเพิ่มมากขึ้น
ในการตัดสินใจเลือกกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษีนั้น จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ มาประกอบการพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายในการลงทุน หรือระยะเวลาในการลงทุน เพื่อให้ได้กองทุนที่ตอบโจทย์กับความต้องการมากที่สุด โดย SSF กับ RMF ก็มีความเหมาะสมและตอบสนองความต้องการในการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
-SSF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาวมากกว่า 10 ปี
-RMF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี และต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณโดยเฉพาะผู้ที่ประกอบวิชาชีพอิสระ หรือ ลูกจ้าง พนักงาน ที่ไม่มีสวัสดิการและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และยังเหมาะสำหรับลูกจ้าง พนักงาน หรือ ข้าราชการที่ต้องการจะออมเพิ่มมากขึ้น
เช็กรายได้และอัตราภาษี ก่อนลงทุนลดหย่อนภาษี
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่า ระหว่าง SSF กับ RMF จะเลือกลงทุนกองทุนใด ก็ต้องไม่ลืมเช็กรายได้ก่อนลงทุนลดหย่อนภาษี เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสม พร้อมรับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีที่ครอบคลุมมากที่สุด
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่า ระหว่าง SSF กับ RMF จะเลือกลงทุนกองทุนใด ก็ต้องไม่ลืมเช็กรายได้ก่อนลงทุนลดหย่อนภาษี เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสม พร้อมรับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีที่ครอบคลุมมากที่สุด
อัตราการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2567
-เงินได้สุทธิ 0 - 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษี
-เงินได้สุทธิ 150,000-300,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 5% เสียภาษีสูงสุด 7,500 บาท
-เงินได้สุทธิ 300,001-500,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 10% เสียภาษีสูงสุด 20,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 500,001-750,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 15% เสียภาษีสูงสุด 37,500 บาท
-เงินได้สุทธิ 750,001-1,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 20% เสียภาษีสูงสุด 50,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 1,000,001-2,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 25% เสียภาษีสูงสุด 250,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 2,000,001-5,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 30% เสียภาษีสูงสุด 900,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป มีอัตราภาษีอยู่ที่ 35%
-เงินได้สุทธิ 0 - 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษี
-เงินได้สุทธิ 150,000-300,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 5% เสียภาษีสูงสุด 7,500 บาท
-เงินได้สุทธิ 300,001-500,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 10% เสียภาษีสูงสุด 20,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 500,001-750,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 15% เสียภาษีสูงสุด 37,500 บาท
-เงินได้สุทธิ 750,001-1,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 20% เสียภาษีสูงสุด 50,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 1,000,001-2,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 25% เสียภาษีสูงสุด 250,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 2,000,001-5,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 30% เสียภาษีสูงสุด 900,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป มีอัตราภาษีอยู่ที่ 35%
BY : Jim
ที่มา : https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/investsnack/easyfinance/start-your-first-investment/ssf-vs-rmf
Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
การส่งออกไม่ใช่แค่การบรรจุของขึ้นตู้แล้วจัดส่งต่างประเทศ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องการความแม่นยำ ความเร็ว และความพร้อมในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะ “ระบบคลังสินค้า”
26 ก.ค. 2025
เมื่อโลกของอีคอมเมิร์ซเติบโตแบบก้าวกระโดด การบริหารจัดการคลังสินค้าและการจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว
26 ก.ค. 2025
เคยเจอปัญหานี้ไหมครับ? สั่งของมาตุนในคลังสินค้าเยอะเกินไป เงินทุนก็จมไปกับสต็อก แถมยังต้องเสียค่าเช่าพื้นที่เพิ่ม แต่พอสั่งของมาน้อยเกินไป สินค้าก็ขาด ขายไม่ได้ เสียโอกาสทางธุรกิจไปอีก... คำถามคือ แล้วเราควรจะสั่งของครั้งละเท่าไหร่ดี ถึงจะเรียกว่า "พอดี" และ "คุ้มค่า" ที่สุด?
วันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักกับ EOQ (Economic Order Quantity) หรือ ปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด ซึ่งเป็นเหมือนสูตรลับที่ช่วยให้ธุรกิจหาจุดสมดุลในการสั่งซื้อสินค้าได้อย่างมืออาชีพ
23 ก.ค. 2025