"ค่าส่ง" ตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจซื้อ: ตั้งราคาค่าส่งอย่างไรให้ลูกค้าไม่หนีและเราไม่ขาดทุน

"ค่าส่ง" ตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจซื้อ: ตั้งราคาค่าส่งอย่างไรให้ลูกค้าไม่หนีและเราไม่ขาดทุน
เคยเจอปัญหานี้ไหมครับ? ลูกค้าเลือกสินค้าใส่ตะกร้าอย่างมีความสุข พอใจกับราคาสินค้าทุกอย่าง... แต่พอถึงหน้าชำระเงิน กดเห็น "ค่าจัดส่ง 60 บาท" ลูกค้ากลับลังเลและกดปิดหน้าเว็บไปดื้อๆ
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "Cart Abandonment" (การทิ้งตะกร้า) และสาเหตุอันดับหนึ่งของมันก็คือ "ค่าส่งที่แพงเกินคาด"
ในโลกของ E-commerce "ค่าส่ง" ไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลัง มันคือปราการด่านสุดท้ายที่จะตัดสินว่าคุณจะได้ "ยอดขาย" หรือได้ "ยอดทิ้งตะกร้า" วันนี้เราจะมาเจาะลึก 4 กลยุทธ์การตั้งราคาค่าส่งที่ช่วยมัดใจลูกค้า โดยที่ธุรกิจของคุณก็ยังคงมีกำไรครับ
1.กลยุทธ์ "ส่งฟรี": แม่เหล็กดึงดูดขั้นสุด
คำว่า "ส่งฟรี" (Free Shipping) คือคำที่มีพลังจิตวิทยาสูงที่สุดในการช็อปปิ้งออนไลน์ ลูกค้ายินดีจ่ายค่าสินค้าที่แพงขึ้นเล็กน้อย ดีกว่าต้องมาจ่ายค่าส่งแยกต่างหาก
- วิธีใช้ไม่ให้ขาดทุน
- กำหนดขั้นต่ำ: "ส่งฟรี! เมื่อซื้อครบ 500 บาท" นี่คือวิธีที่ทรงพลังที่สุด มันไม่เพียงแต่จูงใจให้ลูกค้าซื้อ แต่ยังกระตุ้นให้พวกเขาซื้อเพิ่ม (Upsell) เพื่อให้ถึงยอดที่กำหนด
- บวกค่าส่งแฝงในราคาสินค้า: คำนวณต้นทุนค่าส่งเฉลี่ยต่อชิ้น แล้วบวกเข้าไปในราคาสินค้าเลย วิธีนี้เหมาะกับสินค้าที่มีแบรนด์ชัดเจน สินค้าเฉพาะกลุ่ม หรือสินค้าที่มีกำไรสูง
- กำหนดขั้นต่ำ: "ส่งฟรี! เมื่อซื้อครบ 500 บาท" นี่คือวิธีที่ทรงพลังที่สุด มันไม่เพียงแต่จูงใจให้ลูกค้าซื้อ แต่ยังกระตุ้นให้พวกเขาซื้อเพิ่ม (Upsell) เพื่อให้ถึงยอดที่กำหนด
2.กลยุทธ์ "ค่าส่งคงที่" (Flat Rate): ชัดเจน ไม่ต้องลุ้น
คือการคิดค่าส่งราคาเดียว ไม่ว่าลูกค้าจะสั่งซื้อกี่ชิ้น หรืออยู่จังหวัดไหน (เช่น "เหมาจ่าย 50 บาท ทั่วไทย")
- ข้อดี: ลูกค้าเข้าใจง่าย คาดเดาค่าใช้จ่ายได้ทันที เหมาะสำหรับร้านค้าที่สินค้ามีขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงกัน
- วิธีใช้ไม่ให้ขาดทุน: คำนวณ "ค่าส่งเฉลี่ย" ที่แท้จริงของคุณ (รวมค่ากล่อง, ค่ากันกระแทก, ค่าแรง) แล้วตั้งราคา Flat Rate ให้ครอบคลุมต้นทุนนั้น คุณอาจขาดทุนเล็กน้อยกับออเดอร์ที่ส่งไกลๆ แต่จะได้กำไรจากออเดอร์ที่ส่งใกล้ๆ มาถัวเฉลี่ยกัน
3.กลยุทธ์ "คิดค่าส่งตามจริง" (Real-Time Rates)
คือการคิดค่าส่งตามน้ำหนักและระยะทางจริงในขณะที่ลูกค้าเช็คเอาท์ โดยเชื่อมต่อระบบ API กับบริษัทขนส่งโดยตรง
- ข้อดี: แฟร์ที่สุดสำหรับธุรกิจ คุณไม่มีทางขาดทุนค่าส่งแน่นอน เพราะลูกค้าจ่ายตามจริง
- ข้อควรระวัง: อาจทำให้ตัวเลขค่าส่งดูน่าตกใจสำหรับลูกค้าที่อยู่ไกล หรือสั่งของหนัก กลยุทธ์นี้เหมาะกับธุรกิจ B2B, การขายส่ง, หรือสินค้าที่มีน้ำหนักหลากหลายมากๆ
4.กลยุทธ์ "ผสมผสาน": ให้ลูกค้าเลือกเอง
นี่คือวิธีที่ยืดหยุ่นที่สุด คือการเสนอทางเลือกให้ลูกค้า เช่น
- ส่งธรรมดา (Flat Rate 40 บาท)
- ส่งด่วน EMS (คิดตามจริง)
- ส่งฟรี (เมื่อซื้อครบ 800 บาท)
การให้ "ทางเลือก" ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ และพวกเขามักจะเลือกทางที่เหมาะกับตัวเองที่สุด
หัวใจสำคัญ ต้นทุนขนส่งของคุณต้องต่ำพอก่อน
ไม่ว่าคุณจะเลือกกลยุทธ์ไหน (แม้กระทั่ง "ส่งฟรี") คุณจะทำกำไรได้ก็ต่อเมื่อ "ต้นทุนค่าส่ง" ที่แท้จริงของคุณต่ำพอ การมีพาร์ทเนอร์ขนส่งที่ให้ "เรทราคาสำหรับธุรกิจ" (Corporate Rate) ที่แข่งขันได้, มีบริการเข้ารับถึงที่เพื่อลดต้นทุนแฝงของคุณ, และมีระบบ API ให้เชื่อมต่อ คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สุดที่จะทำให้กลยุทธ์ค่าส่งของคุณประสบความสำเร็จ
"ค่าส่ง" ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) อย่ามองว่ามันเป็นแค่ต้นทุน แต่จงมองว่ามันคือ "เครื่องมือการตลาด" ชิ้นสุดท้ายก่อนปิดการขาย
ทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ ดูว่าแบบไหนที่ลูกค้าของคุณตอบสนองดีที่สุด และที่สำคัญที่สุด หันกลับมาจัดการต้นทุนภายในของคุณด้วยการเลือกพาร์ทเนอร์ขนส่งที่ไว้ใจได้ เพื่อที่คุณจะได้ออกแบบโปรโมชันค่าส่งที่ "มัดใจลูกค้า" โดยที่คุณ "ไม่ขาดทุน"
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการคำปรึกษาด้านการจัดส่ง หรือมองหาเรทราคาขนส่งสำหรับธุรกิจที่คุ้มค่า
ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ โทรศัพท์: 02-114-8855 หรือ 086-3039620 อีเมล: bstransport_bkk@hotmail.com ที่อยู่สำนักงานใหญ่: สถานีขนส่งสินค้าพุทธมณฑลสาย 5 ชานชาลาที่ 11 ห้องที่ 16-17 133 หมู่ที่ 1 ถนนบรมราชชนนี ตำบลบางเตย อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 73210
Contact Center


