รถไฟกับโลจิสติกส์ ทางเลือกที่ถูกลืมแต่กำลังกลับมาแรง
ถ้าพูดถึงการขนส่งสินค้า หลายคนคงนึกถึง รถบรรทุก หรือ เครื่องบินขนส่ง เป็นลำดับแรก แต่รู้หรือไม่ว่า รถไฟ ก็เคยเป็นพระเอกของการขนส่งสินค้าในหลายประเทศ รวมถึงไทยด้วย เพียงแต่เมื่อยุคถนนเฟื่องฟู รถบรรทุกมีความยืดหยุ่นมากกว่า รถไฟจึงถูกลดบทบาทลงไปอย่างเงียบ ๆ
แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วครับ รถไฟกำลังกลับมาเป็นทางเลือกที่ธุรกิจและรัฐบาลทั่วโลกให้ความสนใจอีกครั้ง และกำลังถูกมองว่าเป็น อนาคตใหม่ของโลจิสติกส์ เลยทีเดียว
รถไฟ: พลังที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต
ในยุคก่อน รถไฟคือ เส้นเลือดหลัก ของการขนส่งสินค้า ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน แร่ธาตุ พืชผลการเกษตร หรือแม้แต่สินค้าส่งออก รถไฟสามารถบรรทุกของได้ครั้งละมาก ๆ และวิ่งได้ต่อเนื่องโดยไม่ติดปัญหารถติดบนท้องถนน
ในประเทศไทยเอง รถไฟก็มีบทบาทมาก โดยเฉพาะการขนส่งข้าว ยางพารา และสินค้าส่งออกไปยังท่าเรือ เช่น แหลมฉบัง หรือคลองเตย เพียงแต่เมื่อโครงสร้างถนนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การใช้รถบรรทุกซึ่งคล่องตัวกว่า ก็กลายเป็นทางเลือกหลักแทน
ข้อดีที่ทำให้รถไฟกลับมาน่าสนใจ
ทำไมวันนี้รถไฟถึงถูกพูดถึงอีกครั้ง? คำตอบคือ จุดแข็งที่ไม่อาจมองข้าม ได้แก่:
บรรทุกได้มากในครั้งเดียว
รถไฟสามารถขนสินค้าได้หลายร้อยตันในการเดินทางหนึ่งครั้ง เทียบกับรถบรรทุกที่ต้องใช้หลายสิบคัน
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่า
งานวิจัยพบว่า การขนส่งสินค้าทางรางปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่ารถบรรทุกเกือบครึ่งต่อระยะทางที่เท่ากัน
ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ
เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนต่อกิโลกรัม หรือ ต่อตู้คอนเทนเนอร์ รถไฟถือว่าประหยัดกว่ามาก โดยเฉพาะระยะทางไกล
เส้นทางชัดเจน ไม่เจอรถติด
การวิ่งบนรางที่ไม่ปะปนกับรถยนต์ทั่วไป ช่วยให้คาดการณ์เวลาได้แม่นยำ
ความท้าทายที่ยังมีอยู่
อย่างไรก็ตาม รถไฟก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ยังมี ข้อจำกัด ที่ทำให้การใช้งานไม่แพร่หลายเท่าที่ควร:
ข้อจำกัดด้านเส้นทาง
สินค้าอาจต้องเปลี่ยนจากรถไฟเป็นรถบรรทุกเพื่อส่งถึงมือลูกค้า (First Mile และ Last Mile)
โครงสร้างพื้นฐานยังไม่ครอบคลุม
บางประเทศ รวมถึงไทย ยังมีเส้นทางรางที่จำกัด ไม่ทั่วถึง
ความถี่ในการวิ่งน้อยกว่ารถบรรทุก
ไม่ใช่ว่ามีขบวนรถไฟออกได้ทุกชั่วโมง ทำให้บางครั้งลูกค้าต้องรอรอบ
แนวโน้มที่น่าจับตามอง
สิ่งที่ทำให้รถไฟกลับมา เฉิดฉาย คือ กระแส Green Logistics และ การเชื่อมโยงการค้าระดับภูมิภาค เช่น
รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ที่เชื่อมการขนส่งระหว่างจีน สปป.ลาว และไทย ช่วยให้สินค้าเดินทางได้เร็วขึ้นกว่าทางถนน
ยุโรป ที่ใช้รถไฟเชื่อมโยงหลายประเทศภายในทวีป และบางเส้นทางถึงขั้นเชื่อมกับจีนผ่านเส้นทางสายไหมใหม่ (Belt and Road Initiative)
อินเดีย ที่ลงทุนหนักกับ Dedicated Freight Corridors (รางสำหรับขนส่งสินค้าโดยเฉพาะ)
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า รถไฟไม่ได้เป็นเพียง ทางเลือกสำรอง อีกต่อไป แต่เป็น เส้นทางยุทธศาสตร์ ของการขนส่งในอนาคต
รถไฟกับธุรกิจไทย: โอกาสที่มองข้ามไม่ได้
สำหรับผู้ประกอบการไทย การใช้รถไฟในการขนส่งอาจยังไม่แพร่หลายมากนัก แต่ในอนาคต หากโครงสร้างพื้นฐานพัฒนาเต็มที่ เช่น โครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ และการเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้านในอาเซียน การใช้รถไฟอาจกลายเป็น เกมเชนเจอร์ สำหรับโลจิสติกส์ไทย
ลองจินตนาการดูสิครับ ว่าการส่งสินค้าจากกรุงเทพฯ ไปหนองคายแล้วต่อเชื่อมเข้าสู่รถไฟจีน-ลาว ใช้เวลาและต้นทุนถูกกว่ารถบรรทุกหลายเท่า นี่คือโอกาสใหม่ที่ SME ไทยก็ควรจับตามองเช่นกัน
บทสรุป
แม้จะถูกลืมไปช่วงหนึ่ง แต่รถไฟกำลังกลับมาเป็น พระเอกเงียบ ของโลจิสติกส์โลก ด้วยพลังการบรรทุกสูง ความประหยัด และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นในอนาคต ไม่แน่ว่าเวลาที่เราพูดถึงการขนส่งสินค้า อาจไม่ใช่แค่ รถบรรทุก หรือ เครื่องบิน แต่เราจะต้องพูดถึง รถไฟ ในฐานะกำลังสำคัญของระบบโลจิสติกส์ไทยและโลจิสติกส์โลกด้วยครับ