เตรียมข้อมูลให้พร้อม 'ทดสอบ': เทคนิคการ 'ปรับ' และ 'แปลง' ข้อมูลดิบเพื่อการวิเคราะห์ที่แม่นยำ
อัพเดทล่าสุด: 17 ก.ย. 2025
205 ผู้เข้าชม

เตรียมข้อมูลให้พร้อม 'ทดสอบ': เทคนิคการ 'ปรับ' และ 'แปลง' ข้อมูลดิบเพื่อการวิเคราะห์ที่แม่นยำ
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า "นักวิเคราะห์ข้อมูลใช้เวลา 80% ไปกับการเตรียมและทำความสะอาดข้อมูล และอีก 20% ที่เหลือคือการวิเคราะห์" นี่คือความจริงที่เจ้าของธุรกิจ SME ทุกคนต้องเข้าใจ ก่อนที่เราจะนำข้อมูลไปทดสอบสมมติฐาน, ทำ A/B Testing, หรือวิเคราะห์หา Insight ใดๆ เราต้องมั่นใจเสียก่อนว่า "วัตถุดิบ" หรือข้อมูลดิบของเรานั้น มีคุณภาพและอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม
การวิเคราะห์จากข้อมูลที่ไม่ได้ผ่านการเตรียมเปรียบเสมือนการปรุงอาหารด้วยวัตถุดิบที่ไม่ได้ล้าง ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่น่าเชื่อถือ บทความนี้จะแนะนำ 3 เทคนิคสำคัญในการ "ปรับ" และ "แปลง" ข้อมูลดิบของคุณให้พร้อมสำหรับการวิเคราะห์ที่แม่นยำ
1. การทำ 'Normalization': ปรับข้อมูลให้อยู่ในสเกลเดียวกันเพื่อการเปรียบเทียบที่ยุติธรรม
Normalization คือการปรับข้อมูลที่มีหน่วยหรือสเกลต่างกัน ให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกันเพื่อให้เปรียบเทียบกันได้อย่างยุติธรรม
- ตัวอย่าง: หากคุณต้องการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสาขาแฟรนไชส์ 2 แห่ง การดูแค่ "ยอดขายรวม" อาจไม่ยุติธรรมหากสาขาหนึ่งอยู่ในเมืองใหญ่และอีกสาขาอยู่ในเมืองเล็ก การทำ Normalization คือการหา "ยอดขายเฉลี่ยต่อพนักงานหนึ่งคน" หรือ "กำไรต่อตารางเมตร" ซึ่งจะทำให้เห็นภาพประสิทธิภาพที่แท้จริงได้ดีกว่า
- การประยุกต์ใช้: ใช้ในการเปรียบเทียบความนิยมของบริการ ขนส่งสินค้า ระหว่างพื้นที่ที่มีประชากรแตกต่างกัน
2. การสร้าง 'Feature' ใหม่: แปลงข้อมูลดิบให้มีความหมายมากขึ้น (Feature Engineering)
ข้อมูลที่คุณมีอยู่แล้วสามารถนำมาสร้างเป็นข้อมูลชุดใหม่ที่ให้ความหมายเชิงลึกได้มากขึ้น
- ตัวอย่าง:
-จาก 'ที่อยู่' เป็น 'ภูมิภาค': คุณสามารถสร้างคอลัมน์ "ภูมิภาค" (เหนือ, กลาง, ใต้, อีสาน) จากข้อมูลจังหวัดของลูกค้าได้ เพื่อวิเคราะห์ว่าบริการ ส่งของไปต่างประเทศ ของคุณเป็นที่นิยมในภูมิภาคใดเป็นพิเศษ
-จาก 'รายรับ' เป็น 'กำไร': สร้างคอลัมน์ "กำไร" โดยนำ "ยอดชำระ" มาหักลบกับต้นทุน เพื่อดูว่าบริการไหน (เช่น Fulfillment ราคาถูก หรือ ส่งพัสดุ COD) ทำกำไรให้ธุรกิจของคุณมากที่สุดจริงๆ
3. การจัดการ 'Outliers': ตัดข้อมูลที่ผิดปกติออกไป
Outliers คือข้อมูลที่มีค่าโดดออกมาจากข้อมูลส่วนใหญ่ ซึ่งมักเกิดจากเหตุการณ์พิเศษหรือข้อผิดพลาด และอาจทำให้ค่าเฉลี่ยหรือการวิเคราะห์ของคุณบิดเบือนไปได้
- ตัวอย่าง: คุณกำลังวิเคราะห์ "ระยะเวลาเฉลี่ยในการจัดส่ง" และพบว่าออเดอร์ส่วนใหญ่ใช้เวลา 1-2 วัน แต่มีอยู่ 1 ออเดอร์ที่ใช้เวลาถึง 10 วันเพราะติดปัญหาสภาพอากาศรุนแรง ออเดอร์ที่ใช้เวลา 10 วันนี้คือ Outlier ที่ควรถูกคัดออกไปก่อนนำข้อมูลไปหาค่าเฉลี่ย เพื่อให้ได้เวลาจัดส่งเฉลี่ยที่แท้จริงและเป็นปกติ
สำหรับผู้ที่ สมัครตัวแทนขนส่ง / แฟรนไชส์พัสดุ กับ BS Express ระบบหลังบ้านอัจฉริยะของเราได้ออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูลที่สะอาดและมีโครงสร้างที่ดี ทำให้คุณสามารถเริ่มต้นการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาธุรกิจของคุณได้อย่างมั่นใจ
ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่
โทรศัพท์: 02-114-8855 หรือ 086-3039620
อีเมล: bstransport_bkk@hotmail.com
ที่อยู่สำนักงานใหญ่: สถานีขนส่งสินค้าพุทธมณฑลสาย 5 ชานชาลาที่ 11 ห้องที่ 16-17 133 หมู่ที่ 1 ถนนบรมราชชนนี ตำบลบางเตย อำเภอสามพราน จังหวัดนครฐม 73210
คลิ๊กดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย! https://www.bsgroupth.com/e-fulfillment-stock-pack-ship
บทความที่เกี่ยวข้อง
กล่องเท่ากัน แต่ทำไมราคาต่างกันฟ้ากับเหว?
เคยไหมครับ? ถือกล่องพัสดุใบเดิม ไปส่งที่ขนส่งเจ้าสีแดง ราคา 50 บาท พอไปอีกเจ้าสีส้ม ราคา 80 บาท แต่พอไปส่งขนส่งรถสิบล้อ ราคาเหลือแค่ 40 บาท!
หลายคนคิดว่าการตั้งราคาค่าส่งเป็นเรื่องของการตลาด (ใครจัดโปรฯ ถูกกว่าก็ชนะ) แต่ความจริงแล้ว เบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้นมี "สมการคณิตศาสตร์" ซ่อนอยู่ครับ
วันนี้ BS Express จะมา "แบไต๋" โครงสร้างราคาขนส่งแบบหมดเปลือก เพื่อให้คุณเข้าใจว่าเงินที่คุณจ่ายไป ถูกนำไปคำนวณจากอะไรบ้าง และจะเลือกขนส่งแบบไหนให้ประหยัดเงินในกระเป๋าที่สุด!
27 ธ.ค. 2025
จรรยาบรรณวิชาชีพขนส่ง: กุญแจสำคัญสู่ความเชื่อมั่นและการบริการที่ยั่งยืน
27 ธ.ค. 2025
แปะป้าย "ระวังแตก" แล้วทำไมของยังพัง? เผยเทคนิคการแปะสติ๊กเกอร์ Fragile / ห้ามโยน ที่ถูกต้อง แปะตรงไหนให้พนักงานขนส่งเห็นชัดที่สุด 360 องศา ลดโอกาสความเสียหายได้จริง
27 ธ.ค. 2025
ฟ่าง (นักศึกษาฝึกงาน)


