ทำไมธุรกิจขนส่งยุคใหม่ต้องใส่ใจเรื่อง Carbon Footprint?
ทำไมธุรกิจขนส่งยุคใหม่ต้องใส่ใจเรื่อง Carbon Footprint?
ในวันที่ธุรกิจแข่งขันกันที่ ความเร็วในการส่ง
คำถามคือ...จะเร็วแค่ไหน ถึงไม่ทำร้ายโลก?
ขนส่ง = ตัวการใหญ่ของคาร์บอน?
ใช่ครับ เพราะธุรกิจโลจิสติกส์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO) สูงที่สุด
โดยเฉพาะการใช้รถยนต์ดีเซล รถบรรทุก และการบินขนส่งพัสดุ
ยิ่งส่งเยอะ ยิ่งปล่อยคาร์บอนเยอะ
ยิ่งส่งด่วน ยิ่งใช้พลังงานมากกว่าปกติ
ทำไมเราต้องใส่ใจเรื่อง Carbon Footprint?
1️ เพราะลูกค้าเริ่ม เลือกแบรนด์ที่รักษ์โลก
60% ของผู้บริโภคในยุคใหม่ ยอมจ่ายแพงขึ้น ถ้าสินค้าหรือบริการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
แบรนด์ที่แสดงความโปร่งใสเรื่องสิ่งแวดล้อม = ได้ใจผู้บริโภคยุค Gen Z / Millennials
2️ เพราะต้นทุนพลังงานมีแต่จะเพิ่ม
ราคาน้ำมันขึ้น = ต้นทุนขนส่งสูงขึ้น
รัฐอาจออกมาตรการภาษีคาร์บอนในอนาคต
การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ = ลดค่าใช้จ่ายระยะยาว
3️ เพราะเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่
บริษัทใหญ่หลายแห่งให้คะแนนซัพพลายเออร์ที่ ลดคาร์บอน
หากคุณมีระบบ Tracking Carbon Footprint มีโอกาสได้ลูกค้าองค์กรใหญ่
โลจิสติกส์ยุคใหม่ทำอะไรได้บ้าง?
ใช้ระบบจัดเส้นทางขนส่งด้วย AI
ลดการวิ่งรถซ้ำซ้อน
รวมรอบจัดส่งให้คุ้มค่าที่สุด
บางแพลตฟอร์มช่วยลดคาร์บอนถึง 20-30%
เปลี่ยนมาใช้รถ EV หรือพลังงานทางเลือก
รถไฟฟ้ากำลังเริ่มมีในระบบขนส่งพัสดุ
พลังงานแสงอาทิตย์ใช้ได้กับคลังสินค้า, รถบรรทุกบางรุ่น
วัด Carbon Footprint ของแต่ละพัสดุ
ธุรกิจเริ่มคำนวณว่าการส่งแต่ละครั้งปล่อยคาร์บอนเท่าไร
ลูกค้าเริ่มเลือก จัดส่งแบบประหยัดพลังงาน ได้เอง
️
ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี...แต่วัฒนธรรมองค์กรก็สำคัญ
รณรงค์ในทีมเรื่องการใช้พลังงาน
สร้างแนวทางการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์
ใช้กล่องพัสดุที่ Reuse หรือ Compostable
สรุป:
โลจิสติกส์ไม่ใช่แค่เรื่อง เร็ว แต่ต้อง ยั่งยืน ด้วย
ใครเริ่มก่อน = ได้ใจลูกค้า + ประหยัดค่าใช้จ่าย + เตรียมพร้อมรับกฎระเบียบใหม่