วิธีตั้งราคาแบบ Triple-Code จิตวิทยาการตั้งราคาที่เล่นกับสมองมนุษย์
อัพเดทล่าสุด: 7 ม.ค. 2025
431 ผู้เข้าชม

วิธีตั้งราคาแบบ Triple-Code จิตวิทยาการตั้งราคาที่เล่นกับสมองมนุษย์
Triple-Code Pricing เป็นกลยุทธ์การตั้งราคาที่อาศัยหลักจิตวิทยาในการรับรู้ของมนุษย์ โดยนำตัวเลข 3 ตัว มาจัดวางในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการได้ง่ายขึ้น
หลักการทำงานของ Triple-Code Pricing
หลักการสำคัญของวิธีนี้คือ การใช้ตัวเลข 3 ตัวมาเรียงกันในรูปแบบที่ดูสมเหตุสมผลและน่าสนใจ เช่น 9.99, 199, หรือ 299 บาท ตัวเลขเหล่านี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในหลายระดับ ดังนี้
- ระดับแรก: การรับรู้ สมองของมนุษย์จะรับรู้ตัวเลข 3 หลักได้ง่ายกว่าตัวเลข 4 หลัก ทำให้ราคาดูลดลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- ระดับที่สอง: การเปรียบเทียบ เมื่อเห็นตัวเลข 9 ในหลักหน่วย สมองจะเปรียบเทียบกับตัวเลขกลมๆ เช่น 10 หรือ 20 ทำให้รู้สึกว่าราคานี้ถูกกว่ามาก
- ระดับที่สาม: การตัดสินใจ การใช้ตัวเลข 3 หลักจะสร้างความรู้สึกว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าและน่าสนใจ ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างการใช้ Triple-Code Pricing
- ราคา 999 บาท: ดูเหมือนราคาจะใกล้เคียงกับ 900 บาท มากกว่า 1,000 บาท ทำให้รู้สึกว่าราคาถูกกว่า
- ราคา 19.99 บาท: ดูเหมือนราคาจะใกล้เคียงกับ 19 บาท มากกว่า 20 บาท ทำให้รู้สึกคุ้มค่า
- ราคา 299 บาท: ดูเหมือนราคาจะไม่ถึง 300 บาท ทำให้รู้สึกว่าราคาไม่แพง
เหตุผลที่ Triple-Code Pricing ได้ผล
- จิตวิทยาการรับรู้: สมองของมนุษย์จะให้ความสำคัญกับหลักหน่วยมากกว่าหลักสิบและหลักร้อย
- การเปรียบเทียบ: การเปรียบเทียบราคาทำให้รู้สึกว่าได้ส่วนลด
- ความคุ้มค่า: การใช้ตัวเลข 3 หลักทำให้รู้สึกว่าราคานี้น่าสนใจและคุ้มค่า
ข้อควรระวังในการใช้ Triple-Code Pricing
- ไม่ควรใช้กับสินค้าราคาสูง: สำหรับสินค้าราคาสูง การลดราคาเพียง 1 บาท อาจไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อ
- ต้องสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์: การตั้งราคาแบบนี้ต้องสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย
- ไม่ควรใช้บ่อยเกินไป: หากใช้บ่อยเกินไป ผู้บริโภคอาจจะรู้สึกเบื่อและไม่สนใจ
สรุป
Triple-Code Pricing เป็นกลยุทธ์การตั้งราคาที่อาศัยหลักจิตวิทยามาช่วยในการเพิ่มยอดขาย การเข้าใจหลักการทำงานของวิธีนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดราคาสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกและช่องทางในการเข้าถึงสินค้าและบริการมากมายมหาศาล พวกเขาไม่ได้อยู่แค่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ได้อยู่แค่ในร้านค้า และก็ไม่ได้อยู่แค่ในแอปมือถืออีกต่อไป แต่พวกเขาอยู่ "ทุกที่"
ลองนึกภาพตาม: ลูกค้าเห็นโฆษณาสินค้าของคุณใน Instagram (ออนไลน์) คลิกไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ (ออนไลน์) เพิ่มสินค้าลงตะกร้า แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ วันต่อมา เขาเดินผ่านหน้าร้านของคุณ (ออฟไลน์) และนึกขึ้นได้ จึงตัดสินใจเข้าไปดูสินค้าจริง พนักงานที่ร้านสามารถดึงข้อมูลตะกร้าสินค้าที่เขาค้างไว้ในเว็บขึ้นมาได้ทันที และเสนอโปรโมชั่นที่ตรงใจ จนลูกค้าตัดสินใจซื้อ... นี่คือพลังของ Omnichannel Experience
14 พ.ย. 2025
ในโลกธุรกิจแบบดั้งเดิม (CX 1.0) การเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมักเกิดขึ้นเมื่อ "ปิดการขาย" ได้สำเร็จ ฝ่ายการตลาดทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อหาลูกค้าใหม่ (Pre-Sales) ฝ่ายขายทุ่มเททุกกลยุทธ์เพื่อเปลี่ยนคนแปลกหน้าให้เป็นผู้ซื้อ และเมื่อธุรกรรมสิ้นสุดลง ภารกิจก็ดูเหมือนจะเสร็จสมบูรณ์
12 พ.ย. 2025
ในหลายองค์กร เรามักเห็นภาพความขัดแย้งเล็กๆ (หรือบางทีก็ไม่เล็ก) ระหว่างทีมการตลาดและทีมขาย
ฝ่ายขายบ่นว่า: "การตลาดหา Lead มาไม่ดีเลย ไม่มีคุณภาพ" หรือ "คอนเทนต์ที่ทำมาก็ใช้ขายงานจริงไม่ได้"
ฝ่ายการตลาดบ่นว่า: "อุตส่าห์ทำคอนเทนต์ดีๆ ไปให้ แต่ฝ่ายขายไม่เคยเปิดใช้" หรือ "Lead ที่ให้ไปก็ไม่ยอมตาม"
10 พ.ย. 2025
BANKKUNG

Contact Center

