วิธีตั้งราคาแบบ Triple-Code จิตวิทยาการตั้งราคาที่เล่นกับสมองมนุษย์
อัพเดทล่าสุด: 7 ม.ค. 2025
447 ผู้เข้าชม

วิธีตั้งราคาแบบ Triple-Code จิตวิทยาการตั้งราคาที่เล่นกับสมองมนุษย์
Triple-Code Pricing เป็นกลยุทธ์การตั้งราคาที่อาศัยหลักจิตวิทยาในการรับรู้ของมนุษย์ โดยนำตัวเลข 3 ตัว มาจัดวางในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการได้ง่ายขึ้น
หลักการทำงานของ Triple-Code Pricing
หลักการสำคัญของวิธีนี้คือ การใช้ตัวเลข 3 ตัวมาเรียงกันในรูปแบบที่ดูสมเหตุสมผลและน่าสนใจ เช่น 9.99, 199, หรือ 299 บาท ตัวเลขเหล่านี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในหลายระดับ ดังนี้
- ระดับแรก: การรับรู้ สมองของมนุษย์จะรับรู้ตัวเลข 3 หลักได้ง่ายกว่าตัวเลข 4 หลัก ทำให้ราคาดูลดลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- ระดับที่สอง: การเปรียบเทียบ เมื่อเห็นตัวเลข 9 ในหลักหน่วย สมองจะเปรียบเทียบกับตัวเลขกลมๆ เช่น 10 หรือ 20 ทำให้รู้สึกว่าราคานี้ถูกกว่ามาก
- ระดับที่สาม: การตัดสินใจ การใช้ตัวเลข 3 หลักจะสร้างความรู้สึกว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าและน่าสนใจ ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างการใช้ Triple-Code Pricing
- ราคา 999 บาท: ดูเหมือนราคาจะใกล้เคียงกับ 900 บาท มากกว่า 1,000 บาท ทำให้รู้สึกว่าราคาถูกกว่า
- ราคา 19.99 บาท: ดูเหมือนราคาจะใกล้เคียงกับ 19 บาท มากกว่า 20 บาท ทำให้รู้สึกคุ้มค่า
- ราคา 299 บาท: ดูเหมือนราคาจะไม่ถึง 300 บาท ทำให้รู้สึกว่าราคาไม่แพง
เหตุผลที่ Triple-Code Pricing ได้ผล
- จิตวิทยาการรับรู้: สมองของมนุษย์จะให้ความสำคัญกับหลักหน่วยมากกว่าหลักสิบและหลักร้อย
- การเปรียบเทียบ: การเปรียบเทียบราคาทำให้รู้สึกว่าได้ส่วนลด
- ความคุ้มค่า: การใช้ตัวเลข 3 หลักทำให้รู้สึกว่าราคานี้น่าสนใจและคุ้มค่า
ข้อควรระวังในการใช้ Triple-Code Pricing
- ไม่ควรใช้กับสินค้าราคาสูง: สำหรับสินค้าราคาสูง การลดราคาเพียง 1 บาท อาจไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อ
- ต้องสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์: การตั้งราคาแบบนี้ต้องสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย
- ไม่ควรใช้บ่อยเกินไป: หากใช้บ่อยเกินไป ผู้บริโภคอาจจะรู้สึกเบื่อและไม่สนใจ
สรุป
Triple-Code Pricing เป็นกลยุทธ์การตั้งราคาที่อาศัยหลักจิตวิทยามาช่วยในการเพิ่มยอดขาย การเข้าใจหลักการทำงานของวิธีนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดราคาสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
หยุดถมเงินค่าแอด ถ้าหลังบ้านยัง "รั่ว"
คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมยิงแอดไปเท่าไหร่ ยอดขายก็ไม่โตแบบก้าวกระโดดสักที? หรือทำไมลูกค้าซื้อครั้งเดียวแล้วหายเงียบ ไม่กลับมาซื้อซ้ำ?
ในโลกธุรกิจออนไลน์ปี 2025 ที่ค่าโฆษณา (Ads Cost) แพงหูฉี่ การมัวแต่หาลูกค้าใหม่ (Acquisition) อาจไม่ใช่คำตอบที่คุ้มค่าที่สุดอีกต่อไป กุญแจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดและกำไรพุ่งคือ "การรักษาลูกค้าเก่า (Customer Retention)"
และเชื่อหรือไม่ว่า เครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ไม่ใช่คูปองส่วนลด แต่คือ "ประสบการณ์การจัดส่ง (Delivery Experience)" นั่นเอง วันนี้ BS Group จะพาไปดูว่าทำไมการส่งของที่ดี ถึงมีค่ามากกว่าการยิงแอด
9 ธ.ค. 2025
เคยไหม? ที่คุณเดินเข้าไปในร้านกาแฟตั้งใจจะสั่งแก้วเล็ก แต่จบลงที่การเดินออกมาพร้อมแก้วใหญ่สุด หรือสมัครสมาชิกแอปพลิเคชันรายปีทั้งที่คิดว่าจะลองแค่รายเดือน
คุณไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด และคุณไม่ได้ “หน้าใหญ่” แต่อย่างใด แต่คุณกำลังตกอยู่ในมนตร์สะกดทางจิตวิทยาที่เรียกว่า "The Decoy Effect" หรือ ปรากฏการณ์ตัวล่อ
8 ธ.ค. 2025
เคยไหม? ที่เผลอหยุดดูโฆษณาเพียงเพราะเพลงประกอบเป็นเพลงฮิตยุค 90s หรือตัดสินใจซื้อขนมรุ่นลิมิเต็ดเพียงเพราะแพ็กเกจจิ้งหน้าตาเหมือนตอนที่คุณยังเป็นเด็ก
อาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของจิตวิทยาอันทรงพลังที่เรียกว่า "Nostalgia Marketing" หรือการตลาดแบบถวิลหาอดีต ในยุคที่โลกหมุนไวและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงทุกวินาที ผู้คนจำนวนมากกลับโหยหาความอบอุ่นและความสุขที่คุ้นเคยในวันวาน แบรนด์ที่ฉลาดจึงใช้โอกาสนี้สร้าง "สะพาน" เชื่อมโยงความทรงจำเหล่านั้นสู่อนาคต... และยอดขาย
5 ธ.ค. 2025
BANKKUNG


Contact Center
