วิธีตั้งราคาแบบ Triple-Code จิตวิทยาการตั้งราคาที่เล่นกับสมองมนุษย์
อัพเดทล่าสุด: 7 ม.ค. 2025
463 ผู้เข้าชม

วิธีตั้งราคาแบบ Triple-Code จิตวิทยาการตั้งราคาที่เล่นกับสมองมนุษย์
Triple-Code Pricing เป็นกลยุทธ์การตั้งราคาที่อาศัยหลักจิตวิทยาในการรับรู้ของมนุษย์ โดยนำตัวเลข 3 ตัว มาจัดวางในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการได้ง่ายขึ้น
หลักการทำงานของ Triple-Code Pricing
หลักการสำคัญของวิธีนี้คือ การใช้ตัวเลข 3 ตัวมาเรียงกันในรูปแบบที่ดูสมเหตุสมผลและน่าสนใจ เช่น 9.99, 199, หรือ 299 บาท ตัวเลขเหล่านี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในหลายระดับ ดังนี้
- ระดับแรก: การรับรู้ สมองของมนุษย์จะรับรู้ตัวเลข 3 หลักได้ง่ายกว่าตัวเลข 4 หลัก ทำให้ราคาดูลดลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- ระดับที่สอง: การเปรียบเทียบ เมื่อเห็นตัวเลข 9 ในหลักหน่วย สมองจะเปรียบเทียบกับตัวเลขกลมๆ เช่น 10 หรือ 20 ทำให้รู้สึกว่าราคานี้ถูกกว่ามาก
- ระดับที่สาม: การตัดสินใจ การใช้ตัวเลข 3 หลักจะสร้างความรู้สึกว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าและน่าสนใจ ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างการใช้ Triple-Code Pricing
- ราคา 999 บาท: ดูเหมือนราคาจะใกล้เคียงกับ 900 บาท มากกว่า 1,000 บาท ทำให้รู้สึกว่าราคาถูกกว่า
- ราคา 19.99 บาท: ดูเหมือนราคาจะใกล้เคียงกับ 19 บาท มากกว่า 20 บาท ทำให้รู้สึกคุ้มค่า
- ราคา 299 บาท: ดูเหมือนราคาจะไม่ถึง 300 บาท ทำให้รู้สึกว่าราคาไม่แพง
เหตุผลที่ Triple-Code Pricing ได้ผล
- จิตวิทยาการรับรู้: สมองของมนุษย์จะให้ความสำคัญกับหลักหน่วยมากกว่าหลักสิบและหลักร้อย
- การเปรียบเทียบ: การเปรียบเทียบราคาทำให้รู้สึกว่าได้ส่วนลด
- ความคุ้มค่า: การใช้ตัวเลข 3 หลักทำให้รู้สึกว่าราคานี้น่าสนใจและคุ้มค่า
ข้อควรระวังในการใช้ Triple-Code Pricing
- ไม่ควรใช้กับสินค้าราคาสูง: สำหรับสินค้าราคาสูง การลดราคาเพียง 1 บาท อาจไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อ
- ต้องสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์: การตั้งราคาแบบนี้ต้องสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย
- ไม่ควรใช้บ่อยเกินไป: หากใช้บ่อยเกินไป ผู้บริโภคอาจจะรู้สึกเบื่อและไม่สนใจ
สรุป
Triple-Code Pricing เป็นกลยุทธ์การตั้งราคาที่อาศัยหลักจิตวิทยามาช่วยในการเพิ่มยอดขาย การเข้าใจหลักการทำงานของวิธีนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดราคาสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
จบปัญหา "มาส่งตอนไม่อยู่" สู่ยุคที่ "ลูกค้าเป็นคนคุมเกม"
เคยไหมครับ? สั่งของไปแล้วต้องมานั่งลุ้นว่าขนส่งจะโทรมาตอนไหน พอโทรมาก็ดันติดประชุม หรือพอของมาถึงก็ไม่มีคนอยู่บ้านจนต้องตีของกลับ... นี่คือ Pain Point คลาสสิกที่ทำลายประสบการณ์การซื้อของออนไลน์มานานนับสิบปี
แต่ในปี 2025 ยุคที่ "ลูกค้าคือพระเจ้า" อย่างแท้จริง การขนส่งแบบเดิมที่กำหนดเวลาตายตัว (8.00 - 17.00 น.) กำลังจะตายไป และถูกแทนที่ด้วยเทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า "Hyper-Personalized Delivery" หรือ การขนส่งแบบรู้ใจเฉพาะบุคคล
วันนี้ BS Group จะพาคุณไปดูว่า เมื่อการตลาดและโลจิสติกส์มาเจอกัน มันจะเปลี่ยนการส่งของธรรมดา ให้กลายเป็น "บริการที่ลูกค้ารัก" ได้อย่างไร?
17 ธ.ค. 2025
ในยุคที่การช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติ หลายแบรนด์ทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการยิงโฆษณา การทำคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย หรือการจ้างอินฟลูเอนเซอร์เพื่อดึงลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ แต่มีจุดหนึ่งที่หลายคนมักมองข้าม—จุดที่สำคัญที่สุดเมื่อสินค้าเดินทางไปถึงมือลูกค้า นั่นคือ "วินาทีแห่งการแกะกล่อง" (The Unboxing Experience)
ทำไมกล่องพัสดุธรรมดาๆ ถึงถูกเปรียบเปรยว่าเป็น "เซลส์แมนคนสุดท้าย" และเราจะเปลี่ยนกล่องกระดาษสีน้ำตาลให้กลายเป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังได้อย่างไร? มาหาคำตอบกันครับ
13 ธ.ค. 2025
เคยไหม? ที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะซื้อของชิ้นนั้น แต่พอเห็นป้าย "เหลือ 2 ชิ้นสุดท้าย" หรือเพื่อนในโซเชียลเริ่มแชร์กันเต็มหน้าฟีด จู่ๆ มือของคุณก็กดสั่งซื้อไปโดยอัตโนมัติ... นี่คือกำลังของ FOMO (Fear of Missing Out) หรือ "ความกลัวที่จะตกขบวน"
ในโลกการตลาด FOMO คืออาวุธที่ทรงพลังมาก แต่ถ้าใช้ไม่เป็น มันจะกลายเป็น "ดาบสองคม" ที่ทำให้แบรนด์ดูน่ารำคาญและยัดเยียดทันที วันนี้เราจะมาเจาะลึกเทคนิคการใช้ FOMO Marketing ให้ดู Classy ดูแพง และกระตุ้นลูกค้าได้แบบแยบยลครับ
10 ธ.ค. 2025
BANKKUNG


Contact Center
