แชร์

Passive income กับ Active income เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

อัพเดทล่าสุด: 24 ต.ค. 2024
721 ผู้เข้าชม

รายได้แบบ Passive Income กับ Active Income: แตกต่างกันอย่างไร?

    รายได้แบบ Passive Income (รายได้แบบไม่ต้องลงแรง) และ Active Income (รายได้แบบต้องลงแรง) เป็นสองรูปแบบของรายได้ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ

รายได้แบบ Active Income (รายได้แบบต้องลงแรง)

ความหมาย: คือรายได้ที่ได้มาจากการทำงานโดยตรง เช่น การทำงานประจำ, การทำธุรกิจส่วนตัวที่ต้องลงแรงในการทำงานประจำวัน, หรือการให้บริการต่างๆ ที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม

ลักษณะ

  • ต้องใช้เวลาและแรงกายแรงใจในการทำงาน
  • รายได้จะหยุดเมื่อหยุดทำงาน
  • ตัวอย่าง: เงินเดือนประจำ, ค่าคอมมิชชั่นจากการขายสินค้า, ค่าจ้างรายวัน

ข้อดี

  • ได้รับรายได้อย่างสม่ำเสมอ
  • พัฒนาตนเองได้จากการทำงาน
  • มีความมั่นคงในรายได้ (ในบางกรณี)

ข้อเสีย

  • ต้องใช้เวลาและแรงกายแรงใจในการทำงานอย่างต่อเนื่อง
  • รายได้จำกัดอยู่กับเวลาที่ทำงาน
  • หากหยุดทำงาน รายได้ก็จะหายไป

รายได้แบบ Passive Income (รายได้แบบไม่ต้องลงแรง)

ความหมาย: คือรายได้ที่ได้มาจากทรัพย์สินหรือระบบที่สร้างขึ้นมา โดยไม่ต้องลงแรงทำงานประจำวัน

ลักษณะ

  • ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการทำงานประจำวัน
  • รายได้ยังคงมีเข้ามาแม้จะไม่ได้ทำงาน
  • ตัวอย่าง: ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์, ดอกเบี้ยเงินฝาก, รายได้จากการลงทุนในหุ้น, รายได้จากการขายสินค้าออนไลน์แบบ dropshipping

ข้อดี

  • สร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
  • มีอิสระทางเวลา
  • ไม่จำเป็นต้องแลกกับเวลาในการทำงาน

ข้อเสีย

  • ต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้น
  • ต้องใช้เวลาในการสร้างระบบ
  • มีความเสี่ยงในการลงทุน

การสร้างรายได้แบบ Passive Income เป็นเป้าหมายของหลายๆ คน เนื่องจากช่วยให้อิสระทางเวลาและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การสร้างรายได้แบบ Passive Income ต้องใช้ความรู้และการวางแผนที่ดี

คำแนะนำ

  • ศึกษาหาความรู้: ก่อนเริ่มต้นลงทุนในรายได้แบบ Passive Income ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนประเภทต่างๆ ให้ละเอียด
  • วางแผนการเงิน: กำหนดงบประมาณและเป้าหมายในการสร้างรายได้
  • เริ่มต้นจากน้อยๆ: เริ่มต้นลงทุนในจำนวนเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้สร้างความหลากหลาย: กระจายการลงทุนไปในหลายๆ ช่องทางเพื่อลดความเสี่ยง





BY: MANthi

ที่มา: Gemini


บทความที่เกี่ยวข้อง
Omnichannel Experience: สร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อ เชื่อมทุกช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกและช่องทางในการเข้าถึงสินค้าและบริการมากมายมหาศาล พวกเขาไม่ได้อยู่แค่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ได้อยู่แค่ในร้านค้า และก็ไม่ได้อยู่แค่ในแอปมือถืออีกต่อไป แต่พวกเขาอยู่ "ทุกที่" ลองนึกภาพตาม: ลูกค้าเห็นโฆษณาสินค้าของคุณใน Instagram (ออนไลน์) คลิกไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ (ออนไลน์) เพิ่มสินค้าลงตะกร้า แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ วันต่อมา เขาเดินผ่านหน้าร้านของคุณ (ออฟไลน์) และนึกขึ้นได้ จึงตัดสินใจเข้าไปดูสินค้าจริง พนักงานที่ร้านสามารถดึงข้อมูลตะกร้าสินค้าที่เขาค้างไว้ในเว็บขึ้นมาได้ทันที และเสนอโปรโมชั่นที่ตรงใจ จนลูกค้าตัดสินใจซื้อ... นี่คือพลังของ Omnichannel Experience
ร่วมมือ.jpg Contact Center
14 พ.ย. 2025
Customer Experience (CX) 2.0: ทำไมการบริการ "หลังการขาย" ถึงสำคัญกว่า "ก่อนการขาย" ในยุคนี้
ในโลกธุรกิจแบบดั้งเดิม (CX 1.0) การเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมักเกิดขึ้นเมื่อ "ปิดการขาย" ได้สำเร็จ ฝ่ายการตลาดทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อหาลูกค้าใหม่ (Pre-Sales) ฝ่ายขายทุ่มเททุกกลยุทธ์เพื่อเปลี่ยนคนแปลกหน้าให้เป็นผู้ซื้อ และเมื่อธุรกรรมสิ้นสุดลง ภารกิจก็ดูเหมือนจะเสร็จสมบูรณ์
ร่วมมือ.jpg Contact Center
12 พ.ย. 2025
Sales Enablement: อาวุธลับที่ฝ่ายการตลาดสร้างให้ฝ่ายขาย เพื่อปิดการขายได้ง่ายขึ้น
ในหลายองค์กร เรามักเห็นภาพความขัดแย้งเล็กๆ (หรือบางทีก็ไม่เล็ก) ระหว่างทีมการตลาดและทีมขาย ฝ่ายขายบ่นว่า: "การตลาดหา Lead มาไม่ดีเลย ไม่มีคุณภาพ" หรือ "คอนเทนต์ที่ทำมาก็ใช้ขายงานจริงไม่ได้" ฝ่ายการตลาดบ่นว่า: "อุตส่าห์ทำคอนเทนต์ดีๆ ไปให้ แต่ฝ่ายขายไม่เคยเปิดใช้" หรือ "Lead ที่ให้ไปก็ไม่ยอมตาม"
ร่วมมือ.jpg Contact Center
10 พ.ย. 2025
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ