กองทุนรวม SSF และ RMF ต่างกันยังไง เลือกอันไหนดี?
อัพเดทล่าสุด: 18 ธ.ค. 2024
674 ผู้เข้าชม
ทำความรู้จัก SSF กับ RMF
กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF: Super Savings Fund) เป็นกองทุนที่เน้นการออม และยังเป็นตัวช่วยในการลดหย่อนภาษี ซึ่งกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว SSF เป็นกองทุนที่มาแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF ที่หมดอายุไปเมื่อปี 2562
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (RMF: Retirement Mutual Fund) เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมเงินไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ มีลักษณะคล้ายกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเอกชน และกองทุนบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ ซึ่งมีสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีได้
SSF และ RMF มีเงื่อนไขแตกต่างกันอย่างไร?
-SSF ต้องถือไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ โดยที่ RMF จะถือขั้นต่ำ 5 ปี และขายออกได้ตอนอายุครบ 55 ปี บริบูรณ์
-SSF ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี แต่ RMF ต้องซื้อต่อเนื่องอย่างน้อยปีเว้นปี
-SSF สามารถลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 200,000 บาท ส่วน RMF สามารถลดหย่อนไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท แต่ทั้งหมดนี้เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนออมแห่งชาติ ประกันหรือกองทุนบำนาญอื่น ๆ แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
-SSF ต้องถือไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ โดยที่ RMF จะถือขั้นต่ำ 5 ปี และขายออกได้ตอนอายุครบ 55 ปี บริบูรณ์
-SSF ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี แต่ RMF ต้องซื้อต่อเนื่องอย่างน้อยปีเว้นปี
-SSF สามารถลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 200,000 บาท ส่วน RMF สามารถลดหย่อนไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท แต่ทั้งหมดนี้เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนออมแห่งชาติ ประกันหรือกองทุนบำนาญอื่น ๆ แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
SSF และ RMF มีเงื่อนไขคล้ายกันอย่างไร?
-สามารถลงทุนได้ตลอดทั้งปี และมีหลากหลายนโยบายการลงทุน
-ลงทุนในทุกสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนทองคำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
-ไม่มีเงินลงทุนขั้นต่ำ และหากลงทุนครบตามเงื่อนไข จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
-สามารถลงทุนได้ตลอดทั้งปี และมีหลากหลายนโยบายการลงทุน
-ลงทุนในทุกสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนทองคำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
-ไม่มีเงินลงทุนขั้นต่ำ และหากลงทุนครบตามเงื่อนไข จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
SSF และ RMF เหมาะกับใคร?
ในการตัดสินใจเลือกกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษีนั้น จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ มาประกอบการพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายในการลงทุน หรือระยะเวลาในการลงทุน เพื่อให้ได้กองทุนที่ตอบโจทย์กับความต้องการมากที่สุด โดย SSF กับ RMF ก็มีความเหมาะสมและตอบสนองความต้องการในการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
-SSF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาวมากกว่า 10 ปี
-RMF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี และต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณโดยเฉพาะผู้ที่ประกอบวิชาชีพอิสระ หรือ ลูกจ้าง พนักงาน ที่ไม่มีสวัสดิการและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และยังเหมาะสำหรับลูกจ้าง พนักงาน หรือ ข้าราชการที่ต้องการจะออมเพิ่มมากขึ้น
ในการตัดสินใจเลือกกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษีนั้น จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ มาประกอบการพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายในการลงทุน หรือระยะเวลาในการลงทุน เพื่อให้ได้กองทุนที่ตอบโจทย์กับความต้องการมากที่สุด โดย SSF กับ RMF ก็มีความเหมาะสมและตอบสนองความต้องการในการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
-SSF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาวมากกว่า 10 ปี
-RMF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี และต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณโดยเฉพาะผู้ที่ประกอบวิชาชีพอิสระ หรือ ลูกจ้าง พนักงาน ที่ไม่มีสวัสดิการและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และยังเหมาะสำหรับลูกจ้าง พนักงาน หรือ ข้าราชการที่ต้องการจะออมเพิ่มมากขึ้น
เช็กรายได้และอัตราภาษี ก่อนลงทุนลดหย่อนภาษี
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่า ระหว่าง SSF กับ RMF จะเลือกลงทุนกองทุนใด ก็ต้องไม่ลืมเช็กรายได้ก่อนลงทุนลดหย่อนภาษี เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสม พร้อมรับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีที่ครอบคลุมมากที่สุด
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่า ระหว่าง SSF กับ RMF จะเลือกลงทุนกองทุนใด ก็ต้องไม่ลืมเช็กรายได้ก่อนลงทุนลดหย่อนภาษี เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสม พร้อมรับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีที่ครอบคลุมมากที่สุด
อัตราการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2567
-เงินได้สุทธิ 0 - 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษี
-เงินได้สุทธิ 150,000-300,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 5% เสียภาษีสูงสุด 7,500 บาท
-เงินได้สุทธิ 300,001-500,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 10% เสียภาษีสูงสุด 20,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 500,001-750,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 15% เสียภาษีสูงสุด 37,500 บาท
-เงินได้สุทธิ 750,001-1,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 20% เสียภาษีสูงสุด 50,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 1,000,001-2,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 25% เสียภาษีสูงสุด 250,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 2,000,001-5,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 30% เสียภาษีสูงสุด 900,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป มีอัตราภาษีอยู่ที่ 35%
-เงินได้สุทธิ 0 - 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษี
-เงินได้สุทธิ 150,000-300,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 5% เสียภาษีสูงสุด 7,500 บาท
-เงินได้สุทธิ 300,001-500,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 10% เสียภาษีสูงสุด 20,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 500,001-750,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 15% เสียภาษีสูงสุด 37,500 บาท
-เงินได้สุทธิ 750,001-1,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 20% เสียภาษีสูงสุด 50,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 1,000,001-2,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 25% เสียภาษีสูงสุด 250,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 2,000,001-5,000,000 บาท มีอัตราภาษีอยู่ที่ 30% เสียภาษีสูงสุด 900,000 บาท
-เงินได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป มีอัตราภาษีอยู่ที่ 35%
BY : Jim
ที่มา : https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/investsnack/easyfinance/start-your-first-investment/ssf-vs-rmf
Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
ในยุคที่เทคโนโลยีและ AI เข้ามามีบทบาทแทบทุกวงการ "คลังสินค้าอัตโนมัติ" หรือ Automated Warehouse ก็กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในแวดวงโลจิสติกส์
18 มิ.ย. 2025
“Smart Warehouse” หรือคลังสินค้าอัจฉริยะ จึงกลายเป็นทางออกที่หลายธุรกิจหันมาให้ความสำคัญ เพราะช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ
18 มิ.ย. 2025
การขยายสาขาแฟรนไชส์ขนส่ง ไม่ใช่แค่เรื่องของจำนวน แต่คือ “คุณภาพของทำเล” และ “ความคุ้มค่าของการลงทุน” ซึ่งการตัดสินใจพลาดแม้เพียงนิดเดียว อาจทำให้เสียเวลา เสียเงิน และเสียโอกาสทองในการเติบโต แต่ในยุคที่ AI อย่าง ChatGPT เข้ามาช่วยวางแผนธุรกิจได้อย่างแม่นยำ การขยายสาขาแบบมืออาชีพไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
19 มิ.ย. 2025