แชร์

Keller's Model พีระมิด 4 ชั้น สู่การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

อัพเดทล่าสุด: 13 พ.ย. 2024
1859 ผู้เข้าชม

Keller's Model หรือ พีระมิด 4 ชั้น เป็นแนวคิดที่นำเสนอโดย Kevin Lane Keller เพื่ออธิบายถึงกระบวนการสร้าง Brand Equity หรือมูลค่าของแบรนด์ให้แข็งแกร่ง โดยพีระมิดนี้จะแบ่งระดับความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ออกเป็น 4 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นจะสอดคล้องกับคำถามพื้นฐานที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์

4 ชั้นของพีระมิด Keller's Model

1. Brand Awareness (การรับรู้แบรนด์): เป็นขั้นพื้นฐานที่สุด ลูกค้ารู้จักและจดจำแบรนด์ได้หรือไม่? เป็นการสร้างความตระหนักรู้ให้ลูกค้าได้รู้จักแบรนด์ในหลากหลายรูปแบบ เช่น ชื่อแบรนด์ โลโก้ สโลแกน

2. Brand Meaning (ความหมายของแบรนด์): ลูกค้าเข้าใจว่าแบรนด์ของคุณคืออะไร? มีความหมายอย่างไร? เป็นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับคุณสมบัติต่างๆ เช่น คุณภาพ ความน่าเชื่อถือ ประโยชน์ที่ได้รับ

3. Brand Response (การตอบสนองต่อแบรนด์): ลูกค้ารู้สึกอย่างไรกับแบรนด์? ชอบหรือไม่ชอบ? มีความรู้สึกอย่างไรเมื่อได้สัมผัสกับแบรนด์? เป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ เช่น ความชอบ ความภักดี ความต้องการที่จะบอกต่อ

4. Brand Resonance (ความสัมพันธ์กับแบรนด์): ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์มากน้อยแค่ไหน? มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับแบรนด์หรือไม่? เป็นการสร้างความผูกพันระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ในระดับที่สูงที่สุด เช่น รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ หรือมีความภักดีต่อแบรนด์อย่างเหนียวแน่น

ภาพรวมของพีระมิด Keller's Model 

ทำไม Keller's Model ถึงสำคัญ ?

  • ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค: ทำให้เราเข้าใจว่าลูกค้าคิดและรู้สึกอย่างไรกับแบรนด์ของเรา
  • เป็นแนวทางในการสร้างแบรนด์: ช่วยให้เราวางแผนกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • วัดผลลัพธ์ของการสร้างแบรนด์: สามารถวัดได้ว่ากลยุทธ์ที่เราทำไปนั้นได้ผลหรือไม่

ตัวอย่างการนำ Keller's Model ไปใช้

ตัวอย่างที่ 1: Starbucks

ขั้นที่ 1: การรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness): สตาร์บัคส์สร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านโลโก้สีเขียวที่เป็นเอกลักษณ์ สาขาที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวก และการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างแพร่หลาย

ขั้นที่ 2: ความหมายของแบรนด์ (Brand Meaning): สตาร์บัคส์สื่อถึงความเป็นไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัย การพักผ่อนหย่อนใจ และประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์

ขั้นที่ 3: การตอบสนองต่อแบรนด์ (Brand Response): ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ และมีความสุขเมื่อได้มาใช้บริการที่สตาร์บัคส์

ขั้นที่ 4: ความสัมพันธ์กับแบรนด์ (Brand Resonance): ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับสตาร์บัคส์ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และมีความภักดีต่อแบรนด์อย่างสูง

ตัวอย่างที่ 2: Apple

ขั้นที่ 1: การรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness): แอปเปิลสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านโลโก้ลูกแก้วที่เป็นเอกลักษณ์ โฆษณาที่สร้างสรรค์ และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก

ขั้นที่ 2: ความหมายของแบรนด์ (Brand Meaning): แอปเปิลสื่อถึงนวัตกรรม ความทันสมัย และการออกแบบที่สวยงาม

ขั้นที่ 3: การตอบสนองต่อแบรนด์ (Brand Response): ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้นและอยากเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล

ขั้นที่ 4: ความสัมพันธ์กับแบรนด์ (Brand Resonance): ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนผู้ใช้ผลิตภัณฑ์แอปเปิล และมีความภักดีต่อแบรนด์อย่างเหนียวแน่น

สรุป: Keller's Model เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักการตลาดที่ต้องการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง โดยการสร้างความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในทุกระดับ และนำไปสู่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว








BY: MANthi

ที่มา: https://zorgle.co.uk/kellers-brand-equity , https://www.facebook.com/share/p/19UaHbd1VA/ , Gemini


บทความที่เกี่ยวข้อง
Nostalgia Marketing: เจาะลึกกลยุทธ์ "ถวิลหาอดีต" เปลี่ยนความทรงจำวัยเยาว์ให้เป็นยอดขายถล่มทลาย
เคยไหม? ที่เผลอหยุดดูโฆษณาเพียงเพราะเพลงประกอบเป็นเพลงฮิตยุค 90s หรือตัดสินใจซื้อขนมรุ่นลิมิเต็ดเพียงเพราะแพ็กเกจจิ้งหน้าตาเหมือนตอนที่คุณยังเป็นเด็ก อาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของจิตวิทยาอันทรงพลังที่เรียกว่า "Nostalgia Marketing" หรือการตลาดแบบถวิลหาอดีต ในยุคที่โลกหมุนไวและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงทุกวินาที ผู้คนจำนวนมากกลับโหยหาความอบอุ่นและความสุขที่คุ้นเคยในวันวาน แบรนด์ที่ฉลาดจึงใช้โอกาสนี้สร้าง "สะพาน" เชื่อมโยงความทรงจำเหล่านั้นสู่อนาคต... และยอดขาย
ร่วมมือ.jpg Contact Center
5 ธ.ค. 2025
Voice Search Optimization: ปรับแต่งเนื้อหาอย่างไร เมื่อลูกค้าเริ่มใช้ "เสียง" สั่งซื้อสินค้าแทนการพิมพ์
เคยไหม? ที่เห็นคนพูดใส่โทรศัพท์ว่า "หาร้านกาแฟใกล้ฉัน" หรือ "สั่งอาหารแมว ยี่ห้อ XX ราคาเท่าไหร่?" พฤติกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ในยุคที่ AI Assistant อย่าง Siri, Google Assistant และ Alexa ฉลาดขึ้นทุกวัน ลูกค้าเริ่มเปลี่ยนจาก "การพิมพ์" คีย์เวิร์ดสั้นๆ มาเป็น "การพูด" ประโยคยาวๆ เพื่อค้นหาและสั่งซื้อสินค้า หากธุรกิจของคุณยังยึดติดกับ SEO แบบเดิมๆ คุณอาจกำลังพลาดโอกาสทองจากลูกค้ากลุ่มนี้ไป วันนี้เราจะพาไปดูเทคนิคการทำ Voice Search Optimization (VSO) เพื่อดักจับลูกค้าที่ชอบใช้เสียงสั่งการ ให้มาเจอสินค้าของคุณเป็นร้านแรก!
ร่วมมือ.jpg Contact Center
4 ธ.ค. 2025
Omnichannel Experience: สร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อ เชื่อมทุกช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกและช่องทางในการเข้าถึงสินค้าและบริการมากมายมหาศาล พวกเขาไม่ได้อยู่แค่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ได้อยู่แค่ในร้านค้า และก็ไม่ได้อยู่แค่ในแอปมือถืออีกต่อไป แต่พวกเขาอยู่ "ทุกที่" ลองนึกภาพตาม: ลูกค้าเห็นโฆษณาสินค้าของคุณใน Instagram (ออนไลน์) คลิกไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ (ออนไลน์) เพิ่มสินค้าลงตะกร้า แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ วันต่อมา เขาเดินผ่านหน้าร้านของคุณ (ออฟไลน์) และนึกขึ้นได้ จึงตัดสินใจเข้าไปดูสินค้าจริง พนักงานที่ร้านสามารถดึงข้อมูลตะกร้าสินค้าที่เขาค้างไว้ในเว็บขึ้นมาได้ทันที และเสนอโปรโมชั่นที่ตรงใจ จนลูกค้าตัดสินใจซื้อ... นี่คือพลังของ Omnichannel Experience
ร่วมมือ.jpg Contact Center
14 พ.ย. 2025
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ